รู้สถานะเอชไอวี (Know Your Status) เพื่อสุขภาพที่ดี และการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
รู้สถานะของคุณ หรือ Know Your Status เป็นแนวคิดสำคัญในการป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีโดยเน้นให้ทุกคนได้รับการตรวจหาเชื้อเป็นประจำ เพราะการรู้สถานะของตัวเองจะช่วยให้สามารถป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น และหากพบว่าติดเชื้อ ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางการแพทย์ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถมีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพที่ดีได้ หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น “รู้สถานะของคุณ” หรือ “Know Your Status” จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลสุขภาพของตัวเองอและผู้อื่น

รู้สถานะเอชไอวี คือ ก้าวแรกสู่สุขภาพที่ดี และการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เพื่ออนาคตที่มั่นใจและปลอดภัยกว่าเดิม
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อไวรัสเอชไอวี
เชื้อเอชไอวี (HIV = Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษา ไวรัสจะทำลายเซลล์เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส
หากปล่อยให้เชื้อเอชไอวี พัฒนาต่อโดยไม่มีการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะ โรคเอดส์ (AIDS – Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมียาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) ที่ช่วยควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพดี และลดโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
ทำไมต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวี?
- รู้สถานะของตัวเอง เพื่อดูแลสุขภาพให้เหมาะสม
- หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวี สามารถเริ่มต้นการรักษาได้ทันที ซึ่งช่วยชะลอการลุกลามของโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- หากไม่ติดเชื้อ ก็สามารถเรียนรู้วิธีป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในอนาคต
- ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
- การตรวจ และรู้สถานะของตัวเองช่วยให้สามารถวางแผนการป้องกันได้ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย การใช้ PrEP หรือ PEP
- สำหรับคู่รัก หรือคู่สมรส การตรวจร่วมกันช่วยให้สามารถเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสม
- การรักษาเร็วช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพดี และมีอายุยืนยาว ปัจจุบันมียาต้านไวรัส (ART) ที่สามารถลดปริมาณไวรัสในร่างกายให้ต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable) ซึ่งหมายความว่า ไม่สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นทางเพศสัมพันธ์ได้ (Undetectable = Untransmittable หรือ U=U)
- ลดการตีตรา และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอชไอวี การส่งเสริมให้คนตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นเรื่องปกติ ช่วยลดการตีตรา และความกลัวที่เกี่ยวข้องกับโรค
ใครบ้างที่ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวี?
ทุกคนสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
- ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ HIV
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) หรือกลุ่ม LGBTQ+
- ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีด และใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- หญิงตั้งครรภ์ (เพื่อลดโอกาสแพร่เชื้อสู่ลูกในครรภ์)
- ผู้ที่เคยได้รับการถ่ายเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะก่อนปี 1992
- ผู้ที่เคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน และ HPV
แนะนำให้ทุกคนตรวจหาเชื้อเอชไอวี อย่างน้อยปีละครั้ง และสำหรับกลุ่มเสี่ยงควรตรวจทุก 3-6 เดือน
การตรวจหาเชื้อเอชไอวี มีแบบใดบ้าง?
การตรวจหาเชื้อเอชไอวี มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาหลังจากได้รับความเสี่ยง ได้แก่
การตรวจแบบ Rapid Test (ตรวจเร็ว)
- เป็นการตรวจเลือดหรือสารน้ำในช่องปาก
- ให้ผลลัพธ์ภายใน 15-30 นาที
- สามารถทำได้ตาม คลินิกสุขภาพ ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลทั่วไป
การตรวจแบบ ELISA (ตรวจเลือดในห้องปฏิบัติการ)
- ตรวจหา แอนติบอดี (Antibody) ต่อ HIV ซึ่งร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อ
- ใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน ในการทราบผล
- แม่นยำสูง แต่ต้องรอให้ผ่าน ระยะ Window Period (ระยะฟักตัวของเชื้อ) ประมาณ 4-6 สัปดาห์ หลังสัมผัสความเสี่ยง
การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test)
- เป็นการตรวจหาตัวเชื้อ HIV โดยตรง
- ใช้ในกรณีที่ต้องการผลด่วน เช่น ผู้ที่ได้รับความเสี่ยงสูงเมื่อไม่นานมานี้
- สามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 10-14 วันหลังสัมผัสความเสี่ยง

ถ้าตรวจไม่พบว่าติดเชื้อเอชไอวี ต้องทำอย่างไร?
หากคุณเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี และผลออกมาเป็นลบ (Negative) หรือไม่พบเชื้อ หมายความว่าคุณ ยังไม่มีการติดเชื้อเอชไอวี ในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม การดูแลตัวเองต่อไปเป็นสิ่งสำคัญ เพราะยังมีโอกาสได้รับเชื้อในอนาคตหากยังมีพฤติกรรมเสี่ยง
- ตรวจสอบช่วงระยะฟักตัวของเชื้อ (Window Period)
- เชื้อเอชไอวีมี ระยะฟักตัวของเชื้อ ซึ่งอาจทำให้การตรวจหาเชื้อยังไม่สามารถให้ผลที่แม่นยำได้
- หากคุณได้รับความเสี่ยงเมื่อไม่นานมานี้ ควรตรวจซ้ำ ภายใน 1-3 เดือน เพื่อยืนยันผลที่แน่นอน
- หากต้องการความมั่นใจมากขึ้น สามารถใช้การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 10-14 วันหลังจากสัมผัสความเสี่ยง
- ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อในอนาคต
- ใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- พิจารณาการใช้ PrEP ซึ่งเป็นยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- หลีกเลี่ยงการใช้ เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด
- หากมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีเชื้อเอชไอวี ควรตรวจสอบว่าสถานะไวรัสของพวกเขาอยู่ในระดับ Undetectable หรือไม่ (U=U: ไม่สามารถตรวจพบ = ไม่สามารถแพร่เชื้อ)
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- แนะนำให้ตรวจหาเชื้อเอชไอวี เป็นประจำอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง หรือ ทุก 3-6 เดือน หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
- ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม หรือ HPV
- ดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับให้เพียงพอ

ถ้าตรวจพบว่าติดเชื้อเอชไอวี ต้องทำอย่างไร?
หากผลตรวจออกมาเป็น บวก (Positive) หรือ พบเชื้อเอชไอวี สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ตั้งสติ และอย่าตกใจ ปัจจุบัน การติดเชื้อเอชไอวีไม่ใช่โรคร้ายแรงที่ไม่มีทางรักษา และสามารถควบคุมได้ด้วยยาต้านไวรัส (ART – Antiretroviral Therapy) ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืนยาวเท่ากับคนทั่วไป
- ยืนยันผลการตรวจด้วยการตรวจซ้ำ
- หากคุณตรวจด้วยชุดตรวจ Rapid Test หรือ ELISA ควรเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อ ยืนยันผล
- แพทย์จะใช้ การตรวจ NAT หรือ Western Blot เพื่อให้แน่ใจว่าคุณติดเชื้อเอชไอวีจริงหรือไม่
- เข้ารับคำปรึกษา และเริ่มการรักษาโดยเร็ว
- หากผลตรวจยืนยันว่าคุณติดเชื้อเอชไอวี แพทย์จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางการรักษา
- ควรเริ่มต้นการใช้ยาต้านไวรัส (ART) ทันที เพื่อช่วย ลดปริมาณไวรัสในร่างกาย และ ชะลอการทำลายของระบบภูมิคุ้มกัน
- ยาต้านไวรัสช่วยให้ระดับไวรัสลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable) ซึ่งหมายความว่า คุณไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ (U=U: Undetectable = Untransmittable)
- ดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจ
- รับประทานยาต้านไวรัส ตรงเวลา ทุกวันเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือการใช้สารเสพติด
- ดูแลสุขภาพจิต หากรู้สึกเครียด ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล ควรพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน
- แจ้งคู่นอนให้ทราบ และตรวจสุขภาพร่วมกัน
- หากคุณมีคู่นอน ควรแจ้งให้พวกเขาทราบ และเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี
- หากคู่ของคุณไม่มีเชื้อเอชไอวี พวกเขาสามารถพิจารณาการใช้ PrEP เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ใช้มาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
- ใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการใช้ เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และรับคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการดูแลสุขภาพ
- ใช้ชีวิตตามปกติ และรักษาเป้าหมายของคุณ
- การติดเชื้อเอชไอวีไม่ใช่อุปสรรคในการใช้ชีวิต คุณยังสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดี มีครอบครัว และมีลูกที่ปลอดเชื้อได้
- ผู้ที่รับการรักษา และมีปริมาณไวรัสต่ำจนไม่สามารถตรวจพบ สามารถมีชีวิตที่ปกติ และแข็งแรงได้
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
วัยรุ่นในปัจจุบัน มีแนวโน้มติดเชื้อเอชไอวี เพิ่มมากขึ้น
“รู้สถานะของคุณ” หรือ “Know Your Status” เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตนเอง และป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่นได้ การตรวจหาเชื้อเอชไอวี เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง
หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวี อย่าตกใจ ปัจจุบันมียาที่สามารถควบคุมไวรัสได้ ทำให้คุณมีชีวิตที่ปกติและมีสุขภาพที่ดี หากคุณยังไม่เคยตรวจหาเชื้อเอชไอวี ขอแนะนำให้เข้ารับการตรวจโดยเร็ว เพราะการรู้สถานะของตนเองคือ กุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพ และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
เอกสารอ้างอิง
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Testing. ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ประเภทของการตรวจ และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/hiv-testing.html
- World Health Organization (WHO). HIV Testing Services. แนวทางการให้บริการตรวจหาเชื้อเอชไอวีทั่วโลก และมาตรฐานการตรวจ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/teams/global-hiv-hepatitis-and-stis-programmes/hiv/treatment/hiv-testing-services
- กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจเอชไอวี สิทธิประโยชน์ และสถานที่ให้บริการในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
- สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ปี 2564/2565. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thaiaidssociety.org
- มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย (Thai Red Cross AIDS Research Centre). รายละเอียดเกี่ยวกับ PrEP และการเข้าถึงยาเพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.trcarc.org