ออรัล เซ็กส์ ปลอดภัยไหม ข้อควรรู้เพื่อป้องกันความเสี่ยง

ออรัล เซ็กส์ปลอดภัยไหม? ข้อควรรู้เพื่อป้องกันความเสี่ยง

ออรัล เซ็กส์ (Oral sex) เป็นหนึ่งในกิจกรรมทางเพศที่ได้รับความนิยมในหมู่คู่รัก เนื่องจากเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความใกล้ชิด และสร้างความสุขในความสัมพันธ์ หลายคนมองว่าออรัล เซ็กส์ ปลอดภัยกว่าการมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น แต่ในความเป็นจริง กิจกรรมนี้ยังมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพได้หากไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสม

ออรัล เซ็กส์ ปลอดภัยไหม ข้อควรรู้เพื่อป้องกันความเสี่ยง

ออรัล เซ็กส์ (Oral sex) คืออะไร?

ออรัล เซ็กส์ (Oral sex) คือ การใช้ปาก ริมฝีปาก ลิ้น หรืออวัยวะในช่องปากอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นอวัยวะเพศของคู่ โดยแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก

  1. การกระตุ้นอวัยวะเพศชาย (Fellatio)หมายถึง การใช้ปากกระตุ้น หรือเล้าโลมอวัยวะเพศชาย
  2. การกระตุ้นอวัยวะเพศหญิง (Cunnilingus) หมายถึง การใช้ปากกระตุ้น หรือเล้าโลมอวัยวะเพศหญิง

แม้ออรัล เซ็กส์ จะไม่ก่อให้เกิดการตั้งครรภ์ แต่มีโอกาสที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการติดเชื้อบางชนิดจะถ่ายทอดจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งผ่านทางสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย เลือด หรือสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ

Love2test

ข้อดีของออรัล เซ็กส์

  • เสริมสร้างความใกล้ชิดในความสัมพันธ์ ออรัล เซ็กส์ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างความสุข และความพึงพอใจในความสัมพันธ์ของคู่รัก
  • ไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์
  • เป็นทางเลือกแทนการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ สำหรับบางคนที่อาจไม่สะดวก หรือไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ ออรัลเซ็กส์เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์
  • เพิ่มความมั่นใจ และความพึงพอใจ การกระตุ้นความสุขให้กัน และกันสามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจในความสัมพันธ์

ข้อเสียของออรัล เซ็กส์

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย
    • เชื้อไวรัส เช่น เอชไอวี (HIV), ไวรัสตับอักเสบบี และซี, และเชื้อ HPV (Human Papillomavirus)
    • เชื้อแบคทีเรีย เช่น หนองใน (Gonorrhea), ซิฟิลิส (Syphilis), และหนองในเทียม (Chlamydia)
    • เชื้อราและปรสิต เช่น เชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush)
  • การติดเชื้อในช่องปาก และลำคอ ออรัล เซ็กส์ สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องปาก และลำคอ โดยเฉพาะจากเชื้อ HPV ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งในช่องปาก และคอหอยในระยะยาว
  • การแพร่เชื้อจากเลือด และแผล หากมีแผลในช่องปาก หรืออวัยวะเพศ การทำออรัล เซ็กส์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น
  • ปัญหาสุขอนามัย หากไม่ได้รักษาความสะอาดของปาก หรืออวัยวะเพศ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือการระคายเคือง

ทำอย่างไรให้ออรัล เซ็กส์ปลอดภัย?

  • ใช้ถุงยางอนามัย หรือแผ่นยางป้องกันช่องคลอด (Dental Dam) การใช้ถุงยางอนามัย หรือแผ่นยางป้องกันช่องคลอด ระหว่างการทำออรัล เซ็กส์สามารถลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรเลือกใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่มีสารหล่อลื่นชนิดอุ่น หรือเย็นที่อาจระคายเคืองในช่องปาก
  • รักษาสุขอนามัยช่องปาก การแปรงฟัน หรือใช้ไหมขัดฟันก่อนการทำออรัล เซ็กส์อาจทำให้เกิดแผลเล็ก ๆ ในช่องปาก ซึ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อได้ ควรรักษาความสะอาดช่องปากอย่างเหมาะสม แต่ควรหลีกเลี่ยงการแปรงฟัน หรือใช้ไหมขัดฟันทันที
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ทราบสถานะสุขภาพของตนเอง และคู่ โดยเฉพาะหากคุณมีเพศสัมพันธ์กับคู่หลายคน
  • สังเกตอาการผิดปกติ หากพบแผล รอยแดง หรือตุ่มผิดปกติในช่องปาก หรืออวัยวะเพศ ควรหยุดกิจกรรม และปรึกษาแพทย์ทันที
  • หลีกเลี่ยงในกรณีเสี่ยงสูง หากคู่มีอาการเจ็บป่วย เช่น มีแผลในช่องปาก หรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทราบอยู่แล้ว ควรงดการทำออรัล เซ็กส์ จนกว่าจะรักษาหาย

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

โรคหูดหงอนไก่ หูดในที่ลับที่ป้องกันได้

“ChatLove2test"

ไวรัสตับอักเสบบี : สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

ออรัล เซ็กส์ ไม่ใช่กิจกรรมที่ปลอดภัย 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการป้องกันอย่างเหมาะสม เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือแผ่นยางป้องกันช่องคลอด การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการหลีกเลี่ยงในกรณีเสี่ยงสูง การพูดคุยกับคู่ของคุณเกี่ยวกับสุขภาพ และการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างความมั่นใจ และปลอดภัยในทุกกิจกรรมทางเพศ

“PrEPLove2test"

ด้วยการใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้ คุณสามารถสนุกกับกิจกรรมทางเพศได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

Similar Posts

  • ไวรัสตับอักเสบซี มียารักษาหายขาดแล้วนะ

    ปัจจุบัน ไวรัสตับอักเสบซี สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา ซึ่งสร้างความหวังให้กับผู้คนนับล้านทั่วโลก ความก้าวหน้าล่าสุดของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ได้ปฏิวัติรูปแบบการรักษาด้วยการใช้โปรแกรมที่มีประสิทธิภาพและยอมรับได้ดี ยาต้านไวรัส (DAA) ที่ออกฤทธิ์โดยตรงเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่ ไวรัสตับอักเสบซี ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อและกำจัดการติดเชื้อในร่างกาย ระยะเวลาในการรักษามักจะอยู่ระหว่าง 8-12 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับจีโนไทป์เฉพาะของไวรัสและสุขภาพส่วนบุคคลของผู้ป่วย อัตราในการรักษาหายขาดสูงมากถึง 95% และมีผลข้างเคียงน้อยมาก ความก้าวหน้าในการรักษาด้วยยาไวรัสตับอักเสบซีนี้เป็นก้าวสำคัญในด้านสาธารณสุข ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถกำจัดไวรัสและลดภาระของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับตับ เช่น โรคตับแข็ง และโรคมะเร็งตับได้

  • วัยรุ่นในปัจจุบัน มีแนวโน้มติดเชื้อเอชไอวี เพิ่มมากขึ้น

    กรมอนามัย เตือนวัยรุ่นให้มีสติ รู้จักป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หลังพบวัยรุ่นมีแนวโน้มติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น พร้อมแนะวิธีปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยง

  • |

    U=U คืออะไร? ทำความเข้าใจเพื่อลดการตีตรา และยกระดับความเข้าใจในสังคม

    ในยุคปัจจุบัน เอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ถูกเข้าใจผิด และเป็นสาเหตุของการตีตราในสังคม แม้ว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์จะทำให้ผู้มีผลเลือดบวกสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ความเข้าใจผิด และความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผลยังคงส่งผลให้หลายคนเลือกที่จะตีตัวออกห่างหรือปฏิเสธการอยู่ร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ การรับรู้ และเข้าใจแนวคิดใหม่ ๆ อย่าง U=U จะช่วยยกระดับทัศนคติที่ดีขึ้น ลดการตีตรา และสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างไร้กังวล

  • โรคซิฟิลิส ติดง่าย แต่ป้องกันได้

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน โรคซิฟิลิส (Syphilis) คือ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum)  โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา โดยทั่วไปโรคซิฟิลิสจะเริ่มจากบาดแผล ซึ่งมักพบบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ลักษณะของแผลจะเป็นแผลที่ไม่รู้สึกเจ็บ (Painless sore) หรือเรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) การแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นสามารถเกิดได้ผ่านทางการสัมผัสบาดแผลนี้กับผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ ระยะฟักตัวของโรค หลังจากที่ได้รับเชื้อ ก็มักจะแสดงอาการภายใน 10 – 90 วัน สาเหตุของโรคซิฟิลิส โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema Pallidum) จากการสัมผัสถูกเชื้อโดยตรงจากแผลของผู้ป่วย และระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่มักสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อได้มากที่สุด จึงมักถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้การใช้เข็มฉีดยารวมกับผู้อื่น การรับเลือดจากผู้อื่น รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อสามารถส่งผ่านเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้เช่นกัน ในช่วงระยะที่ 1-2 ของการติดเชื้อจะสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ง่ายมากที่สุด อย่างไรก็ตามการใช้สิ่งของร่วมกันในบางกรณีที่ไม่ได้สัมผัสกับเชื้อโดยตรงอาจไม่เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ เช่น การใช้ห้องน้ำ…

  • |

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

    ถึงแม้ว่าโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะมีมานานมากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี หรือการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง เอชไอวี คืออะไร เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเอดส์ คืออะไร เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome – AIDS) คือ กลุ่มอาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนต่างๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่งกายถูกเชื้อเอชไอวีทำลายจนไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายเหล่านี้ได้ สาเหตุการติดเชื้อเอชไอวี สามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV ตัวอย่างเช่น เชื้อเอชไอวี กับโรคเอดส์เป็นคนละตัวกัน HIV คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  ส่วนโรคเอดส์ คือ โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื้อเอชไอวีทำลาย โรคเอดส์ ยังมีโอกาสรอดชีวิต ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาโรคเอดส์ได้โดยตรง…

  • PEP ยาป้องกันเอชไอวี “หลัง” สัมผัสเชื้อ ทานภายใน 72 ชั่วโมง

    PEP (Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสในกรณีฉุกเฉิน เป็นยาป้องกันเอชไอวี “หลัง” สัมผัสเชื้อ ใช้กับบุคคลที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อเอชไอวี โดยจะต้องรับประทานยาให้เร็วที่สุด ภายใน 72 ชั่วโมง หลังมีความเสี่ยง และจะต้องรับประทานต่อเนื่องติดต่อกันนาน 28 วัน PEP ทำงานอย่างไร? ยา PEP ทำงานโดยหยุดไม่ให้ไวรัสเอชไอวีเพิ่มจำนวนในร่างกาย PEP ทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย PEP มีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเริ่มให้เร็วที่สุดหลังจากได้รับเชื้อไวรัส ขอแนะนำให้เริ่มยา PEP ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีความเสี่ยง ใครบ้างควรใช้ยา PEP? PEP ไม่ใช่วิธีการหลักในการป้องกันเอชไอวี บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อเอชไอวีควรใช้ถุงยางอนามัยและมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อไวรัสเอชไอวี ผลข้างเคียงของยา PEP ยา PEP อาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ ผลข้างเคียงเหล่านี้โดยทั่วไปไม่รุนแรงและมักจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากมีอาการนานมากกว่านั้น แนะนำให้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อจะได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ จะรับ PEP…