รวมสิทธิจำเป็น! เข้าถึงการรักษาเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างทั่วถึง
การเข้าถึงการรักษาเอชไอวี (HIV) และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อย่างทั่วถึงเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียม เพราะโรคเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพของสังคมโดยรวมด้วย การได้รับการวินิจฉัยเร็ว และเริ่มต้นการรักษาอย่างทันท่วงที คือ หัวใจสำคัญที่จะช่วยหยุดการแพร่กระจาย และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สิทธิในการตรวจหาเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตรวจเอชไอวี (HIV) และ การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการตรวจพบเชื้อแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้สามารถเริ่มการรักษาได้ทันเวลา ลดโอกาสการแพร่เชื้อ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจร้ายแรงในระยะยาว ซึ่งในประเทศไทย ปัจจุบันประชาชนสามารถเข้าถึงบริการตรวจเหล่านี้ได้อย่างกว้างขวาง ผ่าน สิทธิหลักของระบบสุขภาพ ได้แก่
สิทธิบัตรทอง (สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า: UHC)
- เป็นสิทธิสำหรับประชาชนไทยทุกคนที่ไม่มีสิทธิประกันสังคมหรือสวัสดิการข้าราชการ
- สามารถขอตรวจหาเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ฟรีตามสถานพยาบาลที่ลงทะเบียน
- ครอบคลุมบริการตรวจเบื้องต้น เช่น HIV, ซิฟิลิส, หนองในแท้ (Gonorrhea), หนองในเทียม (Chlamydia), และไวรัสตับอักเสบบี และซี
- บางแห่งมีโครงการตรวจคัดกรอง HPV ให้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้หญิงวัยทำงาน หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
สิทธิข้าราชการ (สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ)
- สำหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และบุคลากรที่ขึ้นทะเบียน
- สามารถใช้สิทธิเพื่อตรวจวินิจฉัยเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้ที่สถานพยาบาลของรัฐ
- ค่าตรวจ และค่าบริการส่วนใหญ่จะเบิกได้เต็มจำนวน หรือร่วมจ่ายน้อยมาก (แล้วแต่เงื่อนไขที่กำหนด)
สิทธิประกันสังคม (Social Security)
- สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 (พนักงานเอกชน) มาตรา 39 หรือ 40
- มีสิทธิในการขอรับบริการตรวจคัดกรองเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พื้นฐานในโรงพยาบาลตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้
- บางกรณีที่เป็นการตรวจวินิจฉัยโรค อาจต้องมีใบส่งตัวจากแพทย์
บริการที่สามารถขอได้ฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก
การใช้สิทธิสุขภาพที่มีอยู่ ทำให้คุณสามารถเข้าถึงบริการที่สำคัญเหล่านี้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสูง ได้แก่
- ตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV Test) ใช้วิธีตรวจเลือด หรือตรวจสารคัดหลั่ง เพื่อค้นหาการติดเชื้อ HIV
- ตรวจซิฟิลิส (Syphilis) ตรวจหาเชื้อ Treponema pallidum ผ่านการตรวจเลือด
- ตรวจหนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia) ใช้การเก็บตัวอย่างปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ
- ตรวจไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ตรวจหาเชื้อผ่านการเจาะเลือด
- ตรวจหาการติดเชื้อ HPV สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด เช่น ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือกลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ
ตรวจเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง
ปัจจุบัน ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ ๆ ได้มีการจัดโครงการตรวจเอชไอวีฟรีสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)
- ผู้หญิงข้ามเพศ
- ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีด (PWID)
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- คู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร (เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อสู่ลูก)
สิทธิ์นี้อนุญาตให้ตรวจฟรีได้ปีละ 2 ครั้ง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพียงแค่แสดงบัตรประชาชน และเข้ารับบริการที่คลินิกหรือโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ

สิทธิในการรักษาเอชไอวี (ART Program)
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยมี สิทธิในการเข้าถึงยาต้านไวรัส (ART: Antiretroviral Therapy) ทันที โดยอิงตามนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขไทยที่เรียกว่า “ตรวจพบแล้วรักษาเลย” (Test and Treat)
นโยบายนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อ
- ลดปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกายอย่างรวดเร็ว
- ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน (CD4)
- ลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อให้ใกล้เคียงคนทั่วไป
สิทธิที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับ
- ยาต้านไวรัส ART ฟรี
- ผู้มีสิทธิบัตรทอง (UHC), สิทธิข้าราชการ, หรือสิทธิประกันสังคม สามารถรับยาต้านไวรัส ART ได้ฟรี หรือร่วมจ่ายน้อยมาก
- ยาต้านไวรัสที่ได้รับจะเป็นสูตรมาตรฐานตามแนวทางการรักษา HIV ของประเทศไทย ซึ่งเน้นให้กินวันละครั้ง เพื่อความสะดวก และประสิทธิภาพสูงสุด
- การตรวจติดตาม Viral Load และ CD4 ฟรี
- มีสิทธิได้รับการตรวจ Viral Load (ปริมาณเชื้อในเลือด) และ CD4 (ระดับภูมิคุ้มกัน) ทุก 6 เดือน ตามแนวทางการรักษา
- ช่วยประเมินผลการรักษา และปรับแผนหากจำเป็น
- การดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง
- ได้รับการดูแลจากทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น แพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ พยาบาลเวชปฏิบัติ เภสัชกร และนักจิตวิทยา
- มีการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต (Mental Health Counseling) เพราะการดูแลใจมีผลต่อการรักษาร่างกายอย่างมาก
- สิทธิในการย้ายสถานพยาบาลได้ หากย้ายที่อยู่อาศัย หรือเปลี่ยนสถานพยาบาล สามารถแจ้งเปลี่ยนหน่วยบริการได้ตามสิทธิ เพื่อไม่สะดุดในการรับยาต้าน และการติดตามสุขภาพ
เป้าหมายของการรักษาเอชไอวี
- ลด Viral Load ให้ต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable) เมื่อเชื้อในเลือดลดลงจนตรวจไม่พบ ผู้ติดเชื้อจะมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น และลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นจนแทบเป็นศูนย์
- สอดคล้องกับแนวคิด U=U ,Undetectable = Untransmittable (ตรวจไม่พบ = ไม่แพร่เชื้อ) ช่วยลดการตีตราทางสังคม และทำให้ผู้มีเชื้อสามารถใช้ชีวิตปกติได้อย่างมีคุณภาพ
- ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน การรักษาต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มระดับ CD4 ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงโรคฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อราในสมอง หรือปอดอักเสบ
สิทธิในการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
นอกจากสิทธิในการรักษาเอชไอวีแล้ว หากผู้ติดเชื้อหรือบุคคลทั่วไปตรวจพบว่าติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม แผลริมอ่อน ฯลฯ ก็มีสิทธิรับการรักษาฟรีหรือร่วมจ่ายตามเกณฑ์ได้เช่นเดียวกัน
- ยาปฏิชีวนะฟรี หรือร่วมจ่ายต่ำ ได้รับยาตามแนวทางการรักษาโรคแต่ละชนิด เช่น เบนซาธีนเพนิซิลลินสำหรับซิฟิลิส และ เซฟตริอะโซน หรืออาซิโทรมัยซินสำหรับหนองในแท้/เทียม
- การดูแลติดตามการรักษาจนหายขาด มีการนัดติดตามผลการรักษา เพื่อยืนยันว่าการติดเชื้อได้รับการกำจัดอย่างสมบูรณ์ หากพบการติดเชื้อซ้ำหรือดื้อยา จะมีแผนการรักษาต่อเนื่องให้ทันที
- การตรวจคัดกรองโรคแทรกซ้อน เช่น การตรวจหาภาวะการติดเชื้อในอวัยวะอื่น ๆ (เช่น สมอง หัวใจ หรือไต) ในกรณีโรคซิฟิลิสระยะลุกลาม
สิทธิในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การฉีดวัคซีนถือเป็น การป้องกันโรคตั้งแต่ต้นน้ำ (Primary Prevention) ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวัคซีนที่ครอบคลุมอยู่ในสิทธิสุขภาพในประเทศไทย ได้แก่
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (HBV Vaccine)
- บรรจุอยู่ในโปรแกรมวัคซีนพื้นฐาน สำหรับเด็กไทยทุกคน โดยเด็กทารกจะได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกเกิด และมีการให้ครบชุดตามกำหนดในวัยเด็ก
- สำหรับผู้ใหญ่กลุ่มเสี่ยง เช่น
- บุคลากรทางการแพทย์
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
- ผู้ติดเชื้อ HIV
ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด
- บางพื้นที่ (เช่น คลินิกเฉพาะทาง และศูนย์บริการสาธารณสุข) เปิดให้ผู้ใหญ่ขอรับวัคซีนได้โดยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพหรือร่วมจ่ายในอัตราต่ำ
- วัคซีน HPV (Human Papillomavirus Vaccine)
- ให้ฟรี สำหรับ เด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (อายุ 9–11 ปี) ทั่วประเทศ
- ในบางพื้นที่ มีการขยายสิทธิไปยัง
- เด็กชายระดับประถมปลาย
- กลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) หรือผู้ติดเชื้อ HIV
- ประโยชน์ของการฉีดวัคซีน HPV
- ลดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
- ลดความเสี่ยงมะเร็งทวารหนัก
- ลดการเกิดหูดหงอนไก่ในอวัยวะเพศและรอบทวารหนัก

สิทธิการให้คำปรึกษา และป้องกันเพิ่มเติม
นอกเหนือจากการตรวจวินิจฉัย และการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้มีสิทธิสุขภาพในประเทศไทยยังสามารถเข้าถึงบริการเสริมต่าง ๆ ที่สำคัญเพื่อการป้องกันได้ ได้แก่
- การให้คำปรึกษาก่อน และหลังตรวจเอชไอวี (Pre- and Post-Test Counselling)
- มีการเตรียมความพร้อมก่อนตรวจ
- อธิบายผลลัพธ์ของการตรวจทั้งกรณีติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ
- ให้แนวทางการป้องกันเพิ่มเติมตามผลตรวจ
- การเข้าถึงยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ การรับยาต้านไวรัส HIV ล่วงหน้าก่อนมีความเสี่ยง
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง เช่น
- ชายรักชาย (MSM)
- ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด
- ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ HIV
- สามารถขอรับ PrEP ได้ที่คลินิกสุขภาพทางเพศที่ร่วมโครงการ และบางหน่วยบริการของรัฐ
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง เช่น
- การเข้าถึงยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) การรับยาต้านไวรัสฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงหลังความเสี่ยง
- ใช้ในกรณีเช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือเข็มตำจากเข็มปนเปื้อน
- ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ประสิทธิภาพในการป้องกันติดเชื้อจะยิ่งสูง
- บริการให้คำปรึกษาเรื่องเพศที่ปลอดภัย และไม่ตีตรา
- ศูนย์บริการหลายแห่งมีทีมให้คำปรึกษาเรื่องพฤติกรรมทางเพศอย่างเข้าใจ ไม่ตีตรา
- สนับสนุนให้ผู้รับบริการกล้าปรึกษาเรื่องการป้องกัน การตรวจ และการรักษาโดยไม่มีอคติ
ทำไมต้องใช้สิทธิให้ครบ?
การรู้จัก และใช้สิทธิที่มีอยู่ช่วยสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสุขภาพระยะยาวอย่างมาก
- ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ ลดภาระการจ่ายเงินค่าตรวจ และค่ายาโดยตรง
- ได้รับยาที่มีคุณภาพมาตรฐาน ยาต้านไวรัส และวัคซีนผ่านการรับรองคุณภาพโดยกระทรวงสาธารณสุข
- ลดโอกาสลุกลามของโรค และผลกระทบระยะยาว การรักษาแต่เนิ่น ๆ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง มะเร็ง หรือโรคติดเชื้อในระยะยาว
- เสริมสร้างคุณภาพชีวิตในระยะยาว มีสุขภาพดี มีอายุยืนยาว และมีโอกาสใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนทั่วไป
- ช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อในชุมชน ลดวงจรการแพร่เชื้อใหม่ ช่วยให้สังคมมีสุขภาพทางเพศที่ปลอดภัยมากขึ้น
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ทำความรู้จักยา ARV ยาที่เปลี่ยนชีวิตผู้ติดเชื้อ HIV
การดูแลสุขภาพทางเพศไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือเรื่องของความรับผิดชอบต่อตัวเอง และสังคม สิทธิการรักษาเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นสิ่งที่ทุกคนควรเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม อย่าลืมใช้สิทธิที่คุณมีอย่างเต็มที่ เพราะการเริ่มต้นดูแลสุขภาพวันนี้ คือการสร้างอนาคตที่แข็งแรง และมีความสุขในวันข้างหน้า
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). (2022). Consolidated guidelines on HIV prevention, testing, treatment, service delivery and monitoring: Recommendations for a public health approach. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/publications/i/item/9789240031593
- UNAIDS. (2023). Global AIDS Update: The Path That Ends AIDS. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/documents/2023/Global-AIDS-Update-2023
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). HIV Prevention and Care: Testing, PrEP, and ART. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/default.html
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2567). สิทธิและบริการสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/das/
- สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). (2567). คู่มือสิทธิบัตรทอง: การเข้าถึงบริการตรวจและรักษาเอชไอวี/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.nhso.go.th/