Lenacapavir ความก้าวหน้าใหม่ในการรักษาเอชไอวี
เอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการพัฒนายาต้านไวรัส แต่ยังคงมีความจำเป็นในการค้นหาวิธีการรักษา และป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และสะดวกสบายมากขึ้น Lenacapavir เป็นยาต้านไวรัสชนิดใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการรักษา และป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

เลนาคาแพเวียร์ (Lenacapavir) คืออะไร?
เลนาคาแพเวียร์ (Lenacapavir) คือ ยาต้านไวรัสเอชไอวีที่มีความโดดเด่น และทันสมัยที่สุดตัวหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยนับเป็นยาชนิดแรกในกลุ่มที่เรียกว่า Capsid inhibitors หรือกลุ่มยับยั้งโปรตีนแคปซิดของไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะ โปรตีนแคปซิดนี้มีหน้าที่สำคัญหลายประการในการช่วยให้ไวรัสเอชไอวีสามารถติดเชื้อ และแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่น ๆ ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเกิดขึ้นของยากลุ่มใหม่นี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการรักษา และป้องกันการแพร่ระบาดของเอชไอวี
โปรตีนแคปซิด (Capsid Protein) คืออะไร และทำหน้าที่อย่างไร?
เพื่อให้เข้าใจกลไกการทำงานของเลนาคาแพเวียร์ ได้ดียิ่งขึ้น จำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่า โปรตีนแคปซิด มีหน้าที่สำคัญอย่างไรต่อวงจรชีวิตของเชื้อไวรัสเอชไอวี
โปรตีนแคปซิด (Capsid protein) คือโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของเปลือกชั้นในที่หุ้มสารพันธุกรรม (RNA) ของไวรัสเอชไอวีไว้ภายใน โดยมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย (cone-shaped capsid) มีบทบาทในการปกป้อง RNA ของไวรัสจากการถูกทำลายโดยสภาพแวดล้อมภายนอก และที่สำคัญคือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์เป้าหมายของมนุษย์
เมื่อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย มันจะพยายามเข้าไปยังเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า CD4+ T-Cells (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) จากนั้นโปรตีนแคปซิดจะทำหน้าที่สำคัญในขั้นตอนต่าง ๆ ของวงจรชีวิตไวรัส ได้แก่
- การนำส่งสารพันธุกรรมไวรัสเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์เจ้าบ้าน
- ช่วยในการรวมตัวสารพันธุกรรมไวรัสเข้ากับ DNA ของเซลล์มนุษย์
- ควบคุมการสร้างไวรัสรุ่นใหม่ออกมาจากเซลล์
ดังนั้นการที่ไวรัสจะสามารถแพร่พันธุ์ และก่อโรคได้ จึงต้องอาศัยการทำงานที่สมบูรณ์ของโปรตีนแคปซิดเป็นอย่างมาก
เลนาคาแพเวียร์ทำงานอย่างไร?
เลนาคาแพเวียร์ เป็นยาตัวแรกของโลกที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อรบกวนการทำงานของโปรตีนแคปซิดของไวรัสเอชไอวีโดยตรง โดยมีขั้นตอน และกลไกการทำงานที่สำคัญดังนี้
การยับยั้งการเข้าสู่นิวเคลียส (Nuclear Entry Inhibition)
เมื่อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่เซลล์ CD4 แล้ว โดยปกติโปรตีนแคปซิดจะต้องนำส่ง RNA ของไวรัสเข้าสู่นิวเคลียส เพื่อที่จะเปลี่ยนสารพันธุกรรมจาก RNA เป็น DNA และรวมเข้ากับ DNA ของเซลล์เจ้าบ้านต่อไป แต่เลนาคาแพเวียร์ จะเข้าไปจับกับโปรตีนแคปซิดทำให้มันผิดรูป หรือไม่สามารถทำหน้าที่นำสารพันธุกรรมไวรัสเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์เจ้าบ้านได้ ส่งผลให้วงจรชีวิตของไวรัสถูกรบกวนตั้งแต่ขั้นแรก
ยับยั้งการรวมตัวของไวรัสใหม่ (Capsid Assembly Inhibition)
เมื่อไวรัสทำการเปลี่ยนสารพันธุกรรมสำเร็จ และพร้อมจะสร้างไวรัสใหม่ออกมาจากเซลล์ โปรตีนแคปซิดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จะต้องประกอบตัวกันอย่างเหมาะสม เพื่อห่อหุ้ม RNA ไวรัสรุ่นใหม่ แต่เลนาคาแพเวียร์ จะเข้าไปขัดขวางการประกอบตัวของโปรตีนแคปซิดใหม่ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ไวรัสใหม่ไม่สามารถประกอบตัวได้อย่างสมบูรณ์ และถูกทำลายไปในที่สุด
ขัดขวางการปล่อยตัวไวรัสใหม่ (Inhibition of Viral Release)
ในบางกรณีแม้ไวรัสอาจประกอบตัวใหม่ได้ แต่การทำงานของโปรตีนแคปซิดที่บกพร่องจะทำให้ไวรัสใหม่ที่ออกมามีลักษณะผิดปกติ ไม่สามารถแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือมีอายุสั้นลงมาก ส่งผลให้การติดเชื้อในร่างกายมนุษย์ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยกลไกที่มีลักษณะพิเศษนี้ เลนาคาแพเวียร์จึงสามารถลดปริมาณไวรัสเอชไอวีในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก แม้แต่ในผู้ป่วยที่เคยดื้อยาหลายชนิดมาแล้ว ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของยานี้

วิธีการใช้เลนาคาแพเวียร์
เลนาคาแพเวียร์ ได้รับการออกแบบมาให้สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบ ยาเม็ดรับประทาน และ ยาฉีดแบบออกฤทธิ์ยาว (Long-acting injectable) โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการควบคุมไวรัสในระยะยาว หรือลดปัญหาการลืมรับประทานยา
- รูปแบบการใช้ยา
- เริ่มต้นด้วยการรับประทานยา ผู้ป่วยบางรายอาจเริ่มจากการรับยา Lenacapavir แบบเม็ดรับประทานในช่วง 2–3 วันแรกเพื่อเตรียมร่างกายให้ตอบสนองต่อยา
- ตามด้วยการฉีดยา หลังจากนั้นแพทย์จะให้ Lenacapavir ในรูปแบบยาฉีดใต้ผิวหนัง (subcutaneous injection) ทุก 6 เดือน ครั้งละ 1 เข็ม
- สถานที่ และการดูแล
- การฉีดยา Lenacapavir จะต้องดำเนินการในสถานพยาบาลโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ได้รับการฝึกอบรม
- ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจเลือดตามกำหนด เพื่อประเมินระดับไวรัส และการตอบสนองต่อยาอย่างต่อเนื่อง
- การใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสอื่น
- ในผู้ป่วยที่มีการดื้อยาหลายชนิด Lenacapavir จะใช้ ร่วมกับยาต้านไวรัสสูตรอื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อเสริมฤทธิ์ในการควบคุมเชื้อ
- ไม่ควรใช้ Lenacapavir เดี่ยว ๆ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการดื้อยา
ประสิทธิภาพของเลนาคาแพเวียร์ ในการรักษาเอชไอวี
เลนาคาแพเวียร์ ได้รับการอนุมัติให้ใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสอื่น ๆ สำหรับผู้ป่วยที่มีการดื้อยาหลายชนิด การศึกษาทางคลินิกพบว่า เลนาคาแพเวียร์มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณไวรัสในเลือดของผู้ป่วยที่มีการดื้อยาหลายชนิด โดยมีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้
เลนาคาแพเวียร์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาการดื้อยาต่อการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหลายชนิดที่ผ่านมาแล้วก่อนหน้านี้
เหตุผลในการพัฒนาเลนาคาแพเวียร์
ก่อนที่จะเข้าใจประสิทธิภาพของเลนาคาแพเวียร์ ควรทราบก่อนว่า การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้วิธีที่เรียกว่า การรักษาด้วยยาต้านไวรัสแบบผสมผสาน (Combination Antiretroviral Therapy: cART) ซึ่งรวมยาหลายชนิดเข้าด้วยกันเพื่อควบคุมปริมาณไวรัสในเลือดให้ต่ำที่สุด (Undetectable Level)
อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ใช้ยาต้านไวรัสมาเป็นเวลานาน หรือไม่ได้ใช้ยาอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ อาจพบว่าเชื้อไวรัสเริ่มพัฒนาการดื้อต่อยาต้านไวรัสหลายชนิด ซึ่งปัญหานี้เรียกว่า Multi-drug Resistant HIV ทำให้การรักษามีข้อจำกัดอย่างมาก และผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการแย่ลง และเสียชีวิตได้
จากปัญหานี้เอง จึงเป็นที่มาของการพัฒนาเลนาคาแพเวียร์r ยาที่มีลักษณะเฉพาะของกลไกการทำงานซึ่งต่างจากยาต้านไวรัสรุ่นก่อนอย่างชัดเจน และทำให้สามารถจัดการกับเชื้อเอชไอวี ที่ดื้อยากลุ่มอื่นได้เป็นอย่างดี
การศึกษา และผลการทดลองทางคลินิก (Clinical Trials)
การศึกษาทางคลินิกที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่โดดเด่นของเลนาคาแพเวียร์r ในการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาดื้อยาหลายชนิด ได้แก่การทดลองที่เรียกว่า CAPELLA study ซึ่งเป็นการศึกษาขนาดใหญ่ที่จัดขึ้นทั่วโลก เพื่อประเมินประสิทธิภาพของยาเลนาคาแพเวียร์ ในกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ที่มีประวัติการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหลากหลายกลุ่มแล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากเชื้อดื้อยาอย่างมาก
ผลการศึกษา CAPELLA study สรุปได้ดังนี้
- กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วย: เป็นผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ที่มีเชื้อดื้อยาแล้วหลายกลุ่มยา โดยมีปริมาณไวรัสในเลือดสูง แม้ว่าจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม
- รูปแบบการศึกษา: ผู้ป่วยจะได้รับเลนาคาแพเวียร์ ร่วมกับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอื่น ๆ ที่แพทย์เลือกให้เหมาะสมเฉพาะราย โดยการฉีดเลนาคาแพเวียร์ ครั้งแรก และหลังจากนั้นจะได้รับยาทุก ๆ 6 เดือน
- ผลลัพธ์หลักของการศึกษา: พบว่าหลังจากเริ่มการรักษาด้วยเลนาคาแพเวียร์ ไปแล้ว 26 สัปดาห์ (ประมาณ 6 เดือน) มีผู้ป่วยมากกว่า 80% ที่สามารถลดปริมาณไวรัสในเลือดลงได้ในระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable Viral Load) ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมมากเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการรักษาอื่นในผู้ป่วยที่มีปัญหาดื้อยาสูง
- ผลการติดตามระยะยาว: เมื่อมีการติดตามผู้ป่วยต่อไปจนถึง 52 สัปดาห์ (1 ปี) พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงสามารถรักษาระดับไวรัสในเลือดให้อยู่ในระดับต่ำได้อย่างต่อเนื่อง และยังพบว่าผู้ป่วยมีการฟื้นตัวของระบบภูมิคุ้มกัน (ค่า CD4+ cells เพิ่มขึ้น) อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
จุดเด่นของเลนาคาแพเวียร์ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
- กลไกการทำงานที่ไม่เหมือนยาอื่น เลนาคาแพเวียร์ออกฤทธิ์โดยตรงที่โปรตีนแคปซิดของเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นกลไกที่ยาอื่น ๆ ในอดีตไม่เคยทำมาก่อน ส่งผลให้สามารถควบคุมเชื้อไวรัสได้แม้ในผู้ป่วยที่เชื้อดื้อยาชนิดอื่นมาก่อนแล้วหลายครั้ง
- ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ที่ยาวนาน เลนาคาแพเวียร์มีข้อดีสำคัญตรงที่สามารถใช้ยาแบบฉีดระยะยาวได้ (Long-acting Injectable) โดยฉีดทุก 6 เดือนครั้งเดียว การใช้ยาไม่บ่อยนี้ช่วยลดปัญหาการลืมกินยาในชีวิตประจำวัน และทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมปริมาณไวรัสได้ดีกว่ายาที่ต้องรับประทานทุกวัน
- ลดปัญหาการดื้อยาใหม่ เนื่องจากกลไกของ เลนาคาแพเวียร์ ที่จับกับโปรตีนแคปซิดโดยตรงทำให้ไวรัสพัฒนาการดื้อยาได้ยากขึ้น จึงมีศักยภาพที่จะช่วยลดโอกาสที่เชื้อจะดื้อยาเพิ่มขึ้นในอนาคต
ความปลอดภัย และผลข้างเคียงของเลนาคาแพเวียร์
ในด้านของความปลอดภัยนั้น เลนาคาแพเวียร์มีผลข้างเคียงที่ถือว่าไม่รุนแรงนัก โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดคือ
- อาการเจ็บปวดบริเวณที่ฉีดยาเล็กน้อย
- อาจมีอาการบวมแดงหรือคันที่บริเวณที่ฉีด
- ผลข้างเคียงอื่นที่อาจพบได้ในบางราย เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือปวดศีรษะเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถทนต่อผลข้างเคียงเหล่านี้ได้ดี
ผลข้างเคียงทั้งหมดที่รายงานมานั้นจัดอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถจัดการได้ และไม่ได้รุนแรงถึงขั้นต้องหยุดการใช้ยาแต่อย่างใด

ข้อดีของเลนาคาแพเวียร์
การให้ยาที่ไม่บ่อยครั้ง
เลนาคาแพเวียร์ ถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบของการฉีดยาที่มีฤทธิ์ยาวนาน (Long-acting injectable) โดยจะมีการฉีดเพียงครั้งเดียวทุก ๆ 6 เดือน ต่างจากยาต้านไวรัสรุ่นเดิมที่ผู้ป่วยต้องรับประทานยาทุกวัน ซึ่งการรักษาแบบเดิมอาจทำให้เกิดปัญหาการลืมกินยา หรือความไม่สม่ำเสมอในการรับยา ส่งผลให้การควบคุมไวรัสไม่ได้ผลเต็มที่ หรืออาจทำให้เชื้อพัฒนาการดื้อยาในที่สุด คือ
- เพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรับประทานยาทุกวัน ช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น และมีอิสระมากขึ้นในการเดินทางหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่ต้องพกยาไปด้วยตลอดเวลา
- ลดโอกาสลืมรับประทานยา การให้ยาแบบฉีดระยะยาวทำให้ระดับยาในร่างกายคงที่ และสม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลให้ควบคุมปริมาณไวรัสได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดการดื้อยาจากการลืมกินยาได้อย่างมาก
เพิ่มความสม่ำเสมอ และการปฏิบัติตามแผนการรักษา (Adherence) เนื่องจากการฉีดยาเป็นเพียงแค่ปีละ 2 ครั้ง จึงทำให้ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามแผนการรักษาได้ดีมากขึ้น เมื่อเทียบกับการกินยาทุกวัน
ประสิทธิภาพสูง
เลนาคาแพเวียร์ มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการแพร่พันธุ์ของไวรัสเอชไอวีสูงมาก เนื่องจากกลไกการออกฤทธิ์ของยามีความพิเศษ โดยจะเข้าไปขัดขวางโปรตีนแคปซิด (Capsid Protein) ของไวรัส ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นในการปกป้อง และขนส่งสารพันธุกรรมไวรัสเข้าสู่เซลล์เจ้าบ้าน รวมถึงมีส่วนสำคัญในการสร้างไวรัสใหม่ด้วย
กลไกการทำงานที่ครอบคลุมหลายขั้นตอน ได้แก่
- ยับยั้งการนำส่งสารพันธุกรรมไวรัสเข้าสู่นิวเคลียสเซลล์เจ้าบ้าน ป้องกันไวรัสไม่ให้สามารถเปลี่ยนสารพันธุกรรมของตนเองจาก RNA เป็น DNA เพื่อรวมตัวกับเซลล์มนุษย์ ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้
- ยับยั้งการประกอบตัวของไวรัสใหม่ ส่งผลให้ไวรัสไม่สามารถสร้างตัวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดการปล่อยไวรัสออกจากเซลล์ ไวรัสที่ผลิตออกมามีความผิดปกติ หรือมีจำนวนลดลงมาก ทำให้ลดโอกาสการแพร่กระจายของไวรัสไปยังเซลล์ใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ
จากการศึกษาทางคลินิก เช่น CAPELLA trial และ PURPOSE 1 พบว่าเลนาคาแพเวียร์r สามารถลดปริมาณไวรัสในเลือดของผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ดื้อยาหลายชนิดลงได้ถึงระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable level) ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ และยังแสดงประสิทธิภาพสูงถึงเกือบ 100% ในการป้องกันการติดเชื้อใหม่อีกด้วย
เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ดื้อยา (Ideal for Multi-drug Resistant HIV)
หนึ่งในข้อดีสำคัญที่ทำให้เลนาคาแพเวียร์ กลายเป็นยาตัวเลือกสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาดื้อยาต้านไวรัส คือ กลไกการทำงานที่แตกต่างจากยาต้านไวรัสอื่น ๆ ในอดีตอย่างชัดเจน
การที่ไวรัสเอชไอวีดื้อยาส่วนใหญ่เกิดจากการที่ยาเดิมออกฤทธิ์ในจุดเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ทำให้เชื้อไวรัสพัฒนาตัวเองให้หลีกเลี่ยงฤทธิ์ของยาที่ใช้เดิมได้ง่าย แต่เลนาคาแพเวียร์ เป็นยา Capsid inhibitor ตัวแรกของโลก ที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อโปรตีนแคปซิด ซึ่งไม่เคยมียาตัวอื่นทำได้มาก่อน ทำให้เชื้อเอชไอวีที่ดื้อยาหลายชนิดไม่มีภูมิต้านทานต่อเลนาคาแพเวียร์
ประโยชน์ที่ได้จากจุดนี้ ได้แก่
- เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษา ผู้ป่วยที่หมดทางเลือกในการรักษาเนื่องจากเชื้อดื้อยามากสามารถกลับมาควบคุมไวรัสได้อีกครั้งด้วยเลนาคาแพเวียร์
- ช่วยลดการเสียชีวิต และภาวะแทรกซ้อน เมื่อควบคุมไวรัสได้ดีขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจะแข็งแรงขึ้น และลดโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคฉวยโอกาสได้อย่างมาก
ข้อควรระวัง และผลข้างเคียง
แม้ว่า เลนาคาแพเวียร์ จะมีข้อดีที่โดดเด่น แต่ก็มีข้อควรระวังบางอย่างที่ควรทราบ:
- ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุด คือ อาการปวด เจ็บ หรือบวมแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดยา ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง และหายไปเองได้
- ผลข้างเคียงอื่นที่อาจพบได้แต่ไม่บ่อย เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือปวดศีรษะ หากเกิดอาการที่รุนแรงหรือผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ทันที
ทั้งนี้ก่อนเริ่มใช้ยาเลนาคาแพเวียร์ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ถึงความเหมาะสม รวมทั้งแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีโรคประจำตัวอื่น หรือการใช้ยาอื่น ๆ ร่วมด้วย
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ทำความรู้จักยา ARV ยาที่เปลี่ยนชีวิตผู้ติดเชื้อ HIV
เลนาคาแพเวียร์ (Lenacapavir) เป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษา และป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ด้วยกลไกการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์ และการให้ยาที่ไม่บ่อยครั้ง ทำให้มีศักยภาพในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและลดการแพร่ระบาดของเอชไอวี อย่างไรก็ตาม ควรมีการติดตามผลการวิจัยเพิ่มเติม และการประเมินความปลอดภัยในระยะยาวเพื่อยืนยันประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของยา
เอกสารอ้างอิง
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Lenacapavir and other long-acting HIV treatments. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/research/features/long-acting-treatment.html
- World Health Organization (WHO). Long-acting agents for the prevention and treatment of HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/feature-stories/detail/long-acting-agents-for-hiv
- Love Foundation. Lenacapavir ยาตัวใหม่ ปฏิวัติการรักษา HIV ป้องกันได้ยาวนานถึง 6 เดือน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://lovefoundation.or.th/lenacapavir/
- CIM Journal. เลนาคาแพเวียร์ (Lenacapavir): ยาแคปซิดอินฮิบิเตอร์ตัวแรกของโลก. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://cimjournal.com/confer-update/laart-lenacapavir/
- The Lancet HIV. Efficacy and safety of lenacapavir in multidrug-resistant HIV: 52-week trial results. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2352301823001133