ความเสี่ยงที่ควรรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวี
|

ความเสี่ยงที่ควรรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นภาวะที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อจากภายนอกได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อจากโรคที่เรียกว่า “โรคติดเชื้อฉวยโอกาส” (Opportunistic Infections) ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวีจะทำให้ระดับ CD4 (เซลล์ภูมิคุ้มกัน) ลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหล่านี้

ความเสี่ยงที่ควรรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

โรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวีคืออะไร?

Love2test

โรคติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic Infections) คือ โรคที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่จะพบได้บ่อยในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยเชื้อโรคเหล่านี้อาจเป็นแบคทีเรีย, ไวรัส, เชื้อรา หรือพยาธิ ซึ่งเมื่อภูมิคุ้มกันลดลงทำให้เชื้อเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกาย และทำให้เกิดโรคได้ง่ายขึ้น

ประเภทของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อย

โรคติดเชื้อฉวยโอกาสเกิดจากเชื้อโรคหลายชนิด ซึ่งสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคได้ดังนี้:

การติดเชื้อจากแบคทีเรีย

  • วัณโรค (Tuberculosis – TB) เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis พบบ่อยในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาการสำคัญคือไอเรื้อรัง น้ำหนักลด และไข้เรื้อรัง
  • Mycobacterium avium complex (MAC) เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ หรือระบบทางเดินอาหาร อาการอาจรวมถึงไข้สูง เหนื่อยง่าย และน้ำหนักลด

การติดเชื้อจากไวรัส

  • โรคเริม (Herpes Simplex Virus – HSV) สามารถเกิดแผลบริเวณปาก อวัยวะเพศ หรือรอบดวงตา และแผลอาจลุกลามในกรณีที่ภูมิคุ้มกันต่ำ
  • โรคงูสวัด (Varicella-Zoster Virus – VZV) เป็นโรคที่เกิดจากการกระตุ้นของเชื้อไวรัสอีสุกอีใสในร่างกายอีกครั้ง ส่งผลให้เกิดผื่นแดง และเจ็บปวดบริเวณเส้นประสาท
  • Cytomegalovirus (CMV) เชื้อไวรัสนี้สามารถทำลายดวงตา สมอง หรือระบบย่อยอาหารได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มี CD4 ต่ำกว่า 50
  • ไวรัสตับอักเสบ B และ C (Hepatitis B and C) ทำให้เกิดการอักเสบของตับ และในบางกรณีอาจนำไปสู่ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ

การติดเชื้อจากเชื้อรา

  • โรคปอดบวมจากเชื้อรา (Pneumocystis pneumonia – PCP) เกิดจากเชื้อรา Pneumocystis jirovecii เป็นสาเหตุหลักของโรคปอดบวมในผู้ติดเชื้อเอชไอวี
  • Cryptococcosis การติดเชื้อจากเชื้อรา Cryptococcus neoformans ซึ่งส่งผลต่อสมอง และระบบประสาท อาจทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • เชื้อราที่ปาก และหลอดอาหาร (Candidiasis) เกิดจากเชื้อรา Candida มักพบในปาก คอ และหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการเจ็บ และแสบร้อน
  • Histoplasmosis การติดเชื้อจากเชื้อรา Histoplasma capsulatum ซึ่งพบในดิน หรือมูลสัตว์ เชื้ออาจแพร่กระจายไปยังปอด หรือต่อมน้ำเหลือง

การติดเชื้อจากพยาธิ

  • Toxoplasmosis เกิดจากเชื้อ Toxoplasma gondii ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในสมอง อาการรวมถึงปวดหัว อาเจียน และอาการทางระบบประสาท
  • Cryptosporidiosis เชื้อพยาธิชนิดนี้ก่อให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้ผู้ติดเชื้อขาดน้ำอย่างรุนแรง
  • Strongyloidiasis เกิดจากพยาธิเส้นด้าย Strongyloides stercoralis ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการทางลำไส้ และในกรณีที่ภูมิคุ้มกันต่ำอาจลุกลามอย่างรวดเร็ว

มะเร็งที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อฉวยโอกาส

  • Kaposi’s Sarcoma มะเร็งที่เกิดจากเชื้อ Human Herpesvirus 8 (HHV-8) ซึ่งมักปรากฏเป็นรอยดำ หรือแดงบนผิวหนัง อวัยวะภายใน หรือเยื่อบุปาก
  • Non-Hodgkin’s Lymphoma มะเร็งของระบบน้ำเหลืองที่พบบ่อยในผู้ติดเชื้อเอชไอวี อาจส่งผลต่อสมอง หรืออวัยวะอื่นๆ
สัญญาณ และอาการที่ควรระวัง

สัญญาณ และอาการที่ควรระวัง

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น

Love2test
  • ไข้สูง และไม่หาย
  • การสูญเสียความอยากอาหาร และน้ำหนักตัว
  • ไอเรื้อรัง หรือหายใจลำบาก
  • ปวดกล้ามเนื้อ และข้อต่อ
  • แผลที่ปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศ
  • อาการท้องเสียเรื้อรัง

การป้องกัน และการดูแล

  1. การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ARV) การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเป็นวิธีที่สำคัญในการช่วยลดระดับไวรัสในร่างกาย และเพิ่มจำนวนเซลล์ CD4 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสได้
  2. การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจหาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแต่เนิ่นๆ การตรวจหาเชื้อวัณโรค, เชื้อรา และการติดเชื้ออื่นๆ จะช่วยให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที
  3. การใช้ยา และการเสริมภูมิคุ้มกัน ในบางกรณี ผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจได้รับยาป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น ยาป้องกันปอดบวม หรือวัณโรค นอกจากนี้การเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงก็มีความสำคัญ

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ไขข้อสงสัย Viral Load: ทำไมค่าปริมาณไวรัสถึงสำคัญต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ภาวะแทรกซ้อน ของผู้ติด HIV

“ChatLove2test"

โรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวีเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่ผู้ติดเชื้อควรระวัง และจัดการอย่างถูกวิธี โดยการรักษาด้วยยาต้านไวรัส, การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และการดูแลสุขภาพทั่วไปจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อฉวยโอกาสได้ หากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ และรักษาทันท่วงที เพื่อสุขภาพที่ดี และชีวิตที่มีคุณภาพ.

Similar Posts

  • | |

    รวมสิทธิจำเป็น! เข้าถึงการรักษาเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างทั่วถึง

    การเข้าถึงการรักษาเอชไอวี (HIV) และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อย่างทั่วถึงเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียม เพราะโรคเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพของสังคมโดยรวมด้วย การได้รับการวินิจฉัยเร็ว และเริ่มต้นการรักษาอย่างทันท่วงที คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยหยุดการแพร่กระจาย และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

  • จะทำอย่างไร ถ้ามีเซ็กส์กับ คนติดเชื้อ HIV

    เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนทุกคนจะมีได้ แต่จะทำอย่างไรหากคุณมีเพศสัมพันธ์กับ คนติดเชื้อ HIV เพราะคู่นอนที่เรารู้จักก็อาจจะไม่ได้ซื่อสัตย์กับเรา ไม่ได้บอกความจริงเกี่ยวกับสถานะเอชไอวีของตัวเอง หรือบางคู่เป็นคนที่มีความเสี่ยงบ่อยอยู่แล้ว ทำให้เราไม่แน่ใจว่า ได้พลั้งเผลอมีอะไรกับ คนติดเชื้อ HIV ไปหรือไม่ วันนี้ เรามีคำแนะนำหากคุณมีความเสี่ยงมาฝากกันครับ ทำอย่างไร ถ้าเผลอมีเซ็กส์กับ คนติดเชื้อ HIV หากรู้แน่แล้ว หรือสงสัยว่าคู่นอนเป็นคนที่มีเชื้อเอชไอวี คุณควรพิจารณาว่า ขณะที่มีเพศสัมพันธ์ได้ทำการป้องกันตัวเองด้วยถุงยางอนามัยหรือไม่ หรือก่อนหน้านี้คุณเองได้มีการรับประทานยาเพร็พ (PrEP) ที่เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีก่อนมีความเสี่ยงไว้ก่อนไหม เพราะปัจจัยเหล่านี้ มีผลต่อการวินิจฉัยของแพทย์ และช่วยลดเปอร์เซนต์ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อลงไปได้มาก แต่หากคุณไม่ได้มีการป้องกันตัวเองด้วยวิธีใดเลย คุณควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อขอรับบริการยาเป๊ป ยาเป๊ป (PEP) เป็นยาต้านฉุกเฉิน สำหรับคนที่มีความเสี่ยงต่อเอชไอวี ในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยกับคนที่มีเชื้อเอชไอวีหรือถุงยางอนามัยแตกรั่วในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ รวมไปถึง ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกข่มขืน หรือถูกอุบัติเหตุเข็มทิ่มตำในสถานพยาบาล หากเข้าข่ายดังที่กล่าวมานี้ ควรติดต่อสถานพยาบาลที่ให้บริการยาเป๊ป (PEP) โดยเร็ว ซึ่งการรับประทานยาเป๊ปจะใช้เวลาประมาณ 28 วัน หรือตามแพทย์สั่งจ่ายยาให้ โดยการทำงานของยาเป๊ป คือ…

  • | |

    ป๊อปเปอร์กับสุขภาพทางเพศ ความสุขชั่วคราวกับความเสี่ยงถาวร

    ในยุคที่เสรีภาพทางเพศได้รับการยอมรับมากขึ้น ป๊อปเปอร์ (Poppers) หรือสารระเหยกลุ่ม alkyl nitrites กลายเป็นที่รู้จักในหมู่คนที่ต้องการเพิ่มความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และในงานปาร์ตี้บางรูปแบบ ป๊อปเปอร์มักถูกมองว่าเป็นสารที่ให้ความสุขชั่วคราว เช่น ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย กล้ามเนื้อคลายตัว เพิ่มความเร้าใจ และลดความเจ็บปวดระหว่างเพศสัมพันธ์

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง ป๊อปเปอร์เต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งผลข้างเคียงเฉียบพลัน ผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ การเพิ่มโอกาสติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเอชไอวี รวมถึงอันตรายถึงชีวิตหากใช้ร่วมกับยาอื่นอย่าง Sildenafil (ไวอากร้า)

    เราจะเจาะลึกทุกมิติของ ป๊อปเปอร์กับสุขภาพทางเพศ ตั้งแต่ประวัติ กลไกการออกฤทธิ์ ผลกระทบต่อร่างกาย ความเชื่อมโยงกับเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไปจนถึงวิธีลดความเสี่ยง เพื่อให้ผู้อ่านมีข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ

  • Love2Test พื้นที่ปลอดภัยเพื่อสุขภาพทางเพศที่คุณเข้าถึงได้ง่ายและมั่นใจ

    ปัจจุบันสุขภาพทางเพศเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม เนื่องจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) และเชื้อเอชไอวี (HIV) ยังคงส่งผลกระทบในวงกว้าง แม้จะมีความก้าวหน้าในด้านการแพทย์และการรักษา แต่การเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพ ความรู้ที่ถูกต้อง และการป้องกันเชิงรุก ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ การจองตรวจที่ love2test การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การรับยา PrEP หรือ PEP เมื่อมีความเสี่ยง รวมถึงการมีความรู้ที่ถูกต้อง จะช่วยปกป้องทั้งตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • | |

    ไขข้อสงสัย Viral Load: ทำไมค่าปริมาณไวรัสถึงสำคัญต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    ในวงการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี คำว่า “Viral Load” หรือ “ค่าปริมาณไวรัส” ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่แพทย์ใช้ในการประเมินสถานะสุขภาพและประสิทธิภาพของการรักษา แล้วทำไมค่าปริมาณไวรัสถึงมีความสำคัญขนาดนั้น? ในบทความนี้เราจะมาไขข้อสงสัยกัน

  • แคมเปญ U=U และ Me เปลี่ยนทัศนคติต่อเอชไอวีในประเทศไทย

    มูลนิธิ Love Foundation ได้เปิดตัวแคมเปญ “U=U และ Me” (https://uuandme.org/) เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการรักษาเอชไอวี และลดการตีตราผู้ติดเชื้อในสังคมไทย โดยแคมเปญนี้ มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยต่อเอชไอวี โดยมุ่งหวังที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคนี้และสนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ การเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และการสนับสนุนจากชุมชนทำให้สามารถลดความกลัว และการตีตราในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่มีความเข้าใจ และยอมรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น