รู้ให้ชัด! เชื้อเอชไอวีติดต่อทางไหน และไม่ติดต่อทางไหน
|

รู้ให้ชัด! เชื้อเอชไอวีติดต่อทางไหน และไม่ติดต่อทางไหน

แม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะมีความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี (HIV) เพิ่มมากขึ้น แต่ความเข้าใจผิดเรื่องการแพร่เชื้อเอชไอวี ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม หลายคนยังเข้าใจว่าเอชไอวีสามารถติดต่อผ่านการใช้แก้วน้ำร่วมกัน หรือแม้แต่การจับมือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง การขาดข้อมูลที่ถูกต้องไม่เพียงแต่สร้างความกลัวโดยไม่จำเป็น ยังเป็นการซ้ำเติมการตีตรา และเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อโดยไม่เป็นธรรม

รู้ให้ชัด! เชื้อเอชไอวีติดต่อทางไหน และไม่ติดต่อทางไหน

เอชไอวี คืออะไร? เข้าใจไวรัสร้ายที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

เอชไอวี (HIV: Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่มีผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โดยเฉพาะการโจมตีเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 (T-helper cells) ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการป้องกัน และต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อเซลล์ CD4 ถูกทำลายลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง จนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อหรือควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง การติดเชื้อเอชไอวีจะลุกลามเข้าสู่ระยะสุดท้ายที่เรียกว่า โรคเอดส์ (AIDS: Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อราในปอด หรือมะเร็งบางชนิดที่มักไม่เกิดในคนทั่วไปที่มีภูมิคุ้มกันสมบูรณ์

Love2test

การรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน

ข่าวดีคือในปัจจุบัน การรักษาด้วย ยาต้านไวรัส หรือที่เรียกว่า ART (Antiretroviral Therapy) ได้รับการพัฒนาไปไกลมาก ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ และเริ่มรับประทานยา ART อย่างสม่ำเสมอ สามารถลดปริมาณไวรัสในร่างกายจนถึงระดับที่เรียกว่า “ตรวจไม่พบ” (Undetectable viral load)

เมื่อไวรัสอยู่ในระดับต่ำมากจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ทั่วไป ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอง แต่ยังช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ลงจนแทบเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เรียกว่า U=U (Undetectable = Untransmittable)

“ChatLove2test"

ผู้ติดเชื้อที่รับการรักษาอย่างต่อเนื่องสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีอายุยืนเท่าคนทั่วไป มีคู่ครอง มีลูก และทำงานในสังคมได้เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่มีเชื้อ

การแพร่เชื้อเอชไอวีเกิดขึ้นได้อย่างไร?

การติดต่อของเชื้อเอชไอวีไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด เพราะไวรัสชนิดนี้ไม่สามารถอยู่รอดได้นานในสภาพแวดล้อมภายนอก และไม่สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การกอด จับมือ หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน

“PrEPLove2test"

การแพร่เชื้อเอชไอวีจากคนหนึ่งสู่อีกคน จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการพร้อมกัน ได้แก่

  1. มีเชื้อเอชไอวีในร่างกายของผู้แพร่เชื้อ ผู้ที่เป็นพาหะหรือมีเชื้อเอชไอวีในเลือด ไม่ว่าจะเป็นระยะเริ่มต้นหรือระยะเรื้อรัง หากยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ได้ควบคุมระดับไวรัสให้อยู่ในเกณฑ์ตรวจไม่พบ ก็มีโอกาสที่เชื้อจะถูกถ่ายทอดไปยังผู้อื่น
  2. มีของเหลวจากร่างกายที่มีเชื้อในปริมาณสูง ของเหลวในร่างกายที่สามารถมีเชื้อเอชไอวีในปริมาณมากและสามารถแพร่เชื้อได้จริง ได้แก่:เลือด
    • น้ำอสุจิ
    • สารคัดหลั่งจากช่องคลอด
    • สารหล่อลื่นจากทวารหนัก
    • น้ำนมแม่
    • ของเหลวเหล่านี้สามารถเป็นพาหะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายของอีกคนได้ หากมีการสัมผัสผ่านช่องทางที่มีความเสี่ยง
  3. เชื้อเข้าสู่ร่างกายของผู้รับผ่านช่องทางที่เปิด หรือบอบบาง ช่องทางที่เชื้อเอชไอวีสามารถเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
    • เยื่อบุอ่อนของอวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก
    • แผลเปิด หรือรอยถลอกบนผิวหนัง
    • การฉีดยาเข้าหลอดเลือดโดยใช้เข็มร่วมกัน
      การถ่ายเลือด หรือปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ที่มีเชื้อ (ในกรณีที่ไม่มีการตรวจกรองอย่างเข้มงวด

หากไม่มีครบทั้ง 3 เงื่อนไขข้างต้น ความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีจะต่ำหรือแทบไม่มีเลย

ช่องทางที่เอชไอวีสติดต่อได้จริง

ช่องทางที่เอชไอวีสติดต่อได้จริง

การติดเชื้อเอชไอวีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการถ่ายเทของของเหลวที่มีเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านช่องทางที่มีความเสี่ยง ซึ่งมีช่องทางหลักดังนี้

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
    • รวมถึงเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก
    • ความเสี่ยงสูงที่สุดคือเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เนื่องจากเยื่อบุบาง ฉีกขาดง่าย
    • การมีแผลในช่องปากหรืออวัยวะเพศจะยิ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
    • พบบ่อยในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด
    • หากเข็มมีเลือดของผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี แม้ปริมาณเล็กน้อย ก็สามารถนำเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที
    • นอกจากยาเสพติด ยังรวมถึงกิจกรรมอื่นๆ เช่น การสัก ฝังเข็ม เจาะร่างกาย ที่ใช้อุปกรณ์ไม่สะอาด
  • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
    • เกิดได้ใน 3 ช่วงคือ: ขณะตั้งครรภ์, ระหว่างคลอด, และช่วงให้นม
    • หากแม่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส โอกาสที่ทารกจะติดเชื้ออยู่ระหว่าง 15–45%
    • แต่หากแม่ได้รับการดูแลด้วย ART อย่างเหมาะสม โอกาสจะลดลงเหลือน้อยกว่า 1%
  • การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ
    • ในประเทศที่มีการคัดกรองเลือดไม่ทั่วถึง อาจยังมีความเสี่ยง
    • การปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ติดเชื้อโดยไม่ทราบสถานะเอชไอวี ก็เป็นอีกช่องทาง
    • ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบคัดกรองที่เข้มงวด ความเสี่ยงจึงต่ำมาก

ของเหลวในร่างกายที่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้

ของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อเอชไอวีในปริมาณสูงเพียงพอที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ มีดังนี้

  • เลือด เป็นของเหลวที่มีความเข้มข้นของไวรัสมากที่สุด การสัมผัสเลือดโดยตรงผ่านแผลเปิด หรือการใช้เข็มร่วมกัน มีความเสี่ยงสูงมาก
  • น้ำอสุจิ พบในผู้ชาย สามารถแพร่เชื้อได้หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีแผลในอวัยวะเพศ หรือภาวะอักเสบ
  • สารคัดหลั่งจากช่องคลอด มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับน้ำอสุจิ โดยเฉพาะหากเข้าสู่เยื่อบุที่อ่อนบางของคู่นอน
  • น้ำหล่อลื่นจากทวารหนัก (rectal mucus) สามารถมีไวรัสได้ โดยเฉพาะหากมีแผล หรือรอยถลอกในบริเวณดังกล่าว การใช้ถุงยางอนามัย และสารหล่อลื่นที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงได้
  • น้ำนมแม่ สามารถแพร่เชื้อไปยังทารกที่ดูดนมได้ หากแม่มีไวรัสในระดับสูงและไม่ได้รับการรักษา

ของเหลวในร่างกายที่ไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวี

ของเหลวต่อไปนี้อาจมีไวรัสอยู่ในปริมาณเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อในชีวิตประจำวัน

  • น้ำลาย
  • น้ำตา
  • ปัสสาวะ
  • เหงื่อ
  • อุจจาระ

ดังนั้น การจูบ จับมือ ใช้ห้องน้ำร่วมกัน หรือแม้แต่กินอาหารร่วมกันกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่ทำให้ติดเชื้ออย่างแน่นอน

ความเข้าใจผิด! พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี

ความเข้าใจผิด! พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี

  • การกอด จับมือ หรือใช้ชีวิตร่วมกัน การสัมผัสทางกาย เช่น กอด จับมือ หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน ไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เพราะไม่มีการแลกเปลี่ยนของเหลวที่มีเชื้อ
  • การใช้ภาชนะร่วมกัน การกินข้าว ใช้แก้วน้ำ ช้อนส้อม ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ เพราะเอชไอวีไม่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมภายนอกได้
  • การจูบแบบปิดปาก (ไม่มีน้ำลาย หรือเลือด) เอชไอวีไม่สามารถแพร่ผ่านน้ำลายเพียงอย่างเดียว การจูบที่ไม่มีการแลกเลือด หรือแผลในปาก ถือว่าไม่มีความเสี่ยง
  • การถูกแมลงกัด เอชไอวีไม่สามารถแพร่ผ่านทางยุง หรือแมลงอื่นๆ ได้ เพราะแมลงไม่สามารถเป็นพาหะของไวรัสชนิดนี้
  • การทำงานร่วมกับผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน เรียนด้วยกัน หรือร่วมกิจกรรมต่างๆ กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อแต่อย่างใด

 ทำไมต้องเข้าใจช่องทางการติดต่อเอชไอวีอย่างถูกต้อง?

การเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแพร่เชื้อเอชไอวีไม่ใช่แค่เรื่องของข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเชิงสังคมอย่างรุนแรง ความเข้าใจผิดเหล่านี้นำไปสู่การตีตรา การรังเกียจ และการเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทั้งที่ผู้ติดเชื้อจำนวนมากสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้ หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม

เมื่อสังคมยังเต็มไปด้วยความเชื่อผิดๆ เช่น คิดว่าเอชไอวีติดต่อได้จากการจับมือ ใช้แก้วน้ำร่วมกัน หรือการนั่งใกล้กัน ผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยสถานะของตนเอง ด้วยความกลัวว่าจะถูกตัดสิน กลั่นแกล้ง หรือแม้กระทั่งถูกปฏิเสธจากครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน

ความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผลเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเข้ารับการตรวจ การรักษา และการใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติ ทั้งที่ความจริงคือ หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ จนไวรัสในเลือดลดลงจนตรวจไม่พบ (Undetectable) พวกเขาจะไม่สามารถแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้เลย ซึ่งเป็นหลักฐานที่ได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC)

ดังนั้น การให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคมจึงเป็นกุญแจสำคัญ ไม่เพียงแต่เพื่อการป้องกันตนเองจากความเสี่ยง แต่ยังช่วยลดอคติ และสร้างสังคมที่เข้าใจผู้มีเชื้ออย่างแท้จริง

ข้อควรทำเพื่อป้องกันเอชไอวีอย่างมีประสิทธิภาพ

หากคุณหรือคนรอบตัวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี การป้องกันด้วยวิธีที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน โดยควรปฏิบัติดังนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก ถุงยางช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน และเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่มีคู่นอนใหม่
  • ใช้ PrEP (ยาเพร็พ) หากมีพฤติกรรมเสี่ยงสูง เพราะ PrEP คือ ยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่สามารถกินล่วงหน้าได้ก่อนมีพฤติกรรมเสี่ยง เหมาะสำหรับผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีคู่นอนที่ไม่ทราบสถานะเอชไอวี
  • ตรวจเลือดเอชไอวีเป็นประจำทุก 3–6 เดือน การตรวจเป็นประจำช่วยให้ทราบสถานะเร็ว หากติดเชื้อจะสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ยังเป็นการรับผิดชอบต่อคู่ของคุณและป้องกันการแพร่เชื้อในอนาคต
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น รวมถึงการสัก ฝังเข็ม หรือเจาะร่างกาย ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์สะอาดและปลอดเชื้อ หากคุณอยู่ในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด ควรเข้าร่วมโปรแกรมลดอันตราย เช่น การแจกเข็มสะอาด (Harm Reduction)
  • ปรึกษาแพทย์หากเกิดเหตุการณ์เสี่ยง เช่น ถุงยางแตก, มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันกับคนที่มีสถานะไม่แน่ชัด, หรือกรณีที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ PEP (ยาต้านฉุกเฉิน) ซึ่งต้องเริ่มกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากเหตุการณ์

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

เสี่ยง – ไม่เสี่ยงก็ต้องตรวจเอชไอวี

การติดเชื้อเอชไอวีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการถ่ายเทของของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อผ่านช่องทางเสี่ยง เช่น เพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ใช้เข็มร่วมกัน หรือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ส่วนการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น การกอด การจับมือ การกินข้าวร่วมกัน ไม่สามารถทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้

การรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่เพียงช่วยปกป้องตัวคุณเองจากการติดเชื้อ แต่ยังช่วยขจัดความกลัว ความรังเกียจ และการตีตราที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ติดเชื้ออีกด้วย

เอกสารอ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Transmission. Information on how HIV is spread through blood, semen, vaginal fluids, and breast milk. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/transmission.html
  • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheet. Global overview of HIV transmission, prevention, and treatment. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
  • HIV.gov. How Is HIV Transmitted? Overview of bodily fluids and activities that can spread HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.hiv.gov/hiv-basics/overview/about-hiv-and-aids/how-is-hiv-transmitted
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับเอชไอวีและเอดส์ การติดเชื้อ การป้องกัน และแนวทางการดูแล. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=23
  • มูลนิธิเข้าถึงเอดส์. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี ช่องทางการติดต่อ และการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.aidsaccess.com

Similar Posts

  • |

    เมื่อเด็กติดเชื้อเอชไอวี ความท้าทาย และการดูแลที่ครอบครัวควรรู้

    เอชไอวี (HIV) ไม่ได้เป็นโรคที่พบเฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร เด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีตั้งแต่วัยเยาว์ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม การดูแลเด็กเหล่านี้จึงต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือจากครอบครัว แพทย์ และชุมชน เราจะมาทำความเข้าใจว่าเอชไอวีในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างไร ความท้าทายที่ต้องเผชิญมีอะไรบ้าง และครอบครัวควรดูแล และสนับสนุนเด็กอย่างไรเพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี

  • Chemsex อย่างไรให้ปลอดภัย? เทคนิคลดความเสี่ยงจากยา และเซ็กซ์

    ในยุคที่การพูดคุยเรื่องเซ็กซ์เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น Chemsex หรือการใช้สารเสพติดร่วมกับกิจกรรมทางเพศ กำลังกลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในหมู่ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่ง Chemsex ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ด้วยผลกระทบทั้งทางกาย จิตใจ และสังคม การรู้เท่าทัน และป้องกันตนเอง คือ กุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยง

  • เอดส์ระยะที่ 2 เป็นอย่างไร

    เอดส์ระยะที่ 2 หลายคนอาจเข้าใจว่า การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคเอดส์ (AIDS) เป็นโรคเดียวกัน ดังนั้นบ่อยครั้ง จะใช้คำว่า “เอดส์” แทน “การติดเชื้อเอชไอวี” และเมื่ออ้างถึงระยะของโรค เช่น เอดส์ระยะที่ 1 เอดส์ระยะที่ 2 และเอดส์ระยะสุดท้าย แต่ในความจริงแล้ว การติดเชื้อเอชไอวี ถูกแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะที่ 2 มีการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ดูแลตัวเองอย่างดี เชื้อเอชไอวีจะไม่พัฒนาเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือระยะเอดส์ กล่าวคือผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่กลายเป็นเอดส์ทุกคน และสามารถมีชีวิตอยู่ได้เหมือนกับคนปกติทั่วไปโดยไม่เจ็บป่วยจากโรค

  • |

    ตรวจ HIV ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป กับชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง INSTI

    ใครยังคิดว่าการตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องยาก? บทความนี้จะทำให้คุณคิดใหม่และมองการติดเชื้อเอชไอวีเปลี่ยนไป …จากหัวข้อเรื่องคงพอเดาได้แล้วว่า เนื้อหาที่จะมาเจาะลึกกันในวันนี้เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่เชื่อหรือไม่ว่าน้อยคนมากที่จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะพื้นฐานแล้วยังมีอีกหลายคนมองว่า เอชไอวีคือโรคเอดส์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้ง 2 มีความเกี่ยวข้องกันแต่ไม่ใช่โรคเดียวกันตามที่เข้าใจ สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือแง่คิดที่มีต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นไปในทางลบมากกว่า สิ่งเหล่านี้เองเกิดจากการรับข่าวสารและการตีความที่แตกต่างกัน คำถามคือข้อมูลเกี่ยวกับเอชไอวีส่งผลต่อการตรวจเอชไอวีด้วยตนเองอย่างไร ไปติดตามบทความนี้กันเลย! เอชไอวี และ เอดส์ แตกต่างกันอย่างไร? เอชไอวี (HIV) คือเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานต่อเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสลุกลามไปสู่โรคฉวยโอกาสอื่น ๆ ได้นั่นเอง โดยจะแบ่งระยะของผู้ป่วยเอชไอวีออกเป็น 3 ระยะ คือ  ระยะเฉียบพลัน ระยะแรกเริ่มที่ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยส่วนใหญ่มักแสดงอาการมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละบุคคล ทั้งนี้จะอยู่ในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งกรณีนี้หากใช้ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง หรือ ตรวจคัดกรองในสถานพยาบาล จะช่วยให้การรักษาทันท่วงทีและรับมือได้เหมาะสมมากที่สุด ระยะสงบทางคลินิก ระยะที่ไม่แสดงอาการที่เห็นได้ชัด แต่บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน ระยะนี้อาจใช้เวลานานถึง 10 ปี โดยเชื้อไวรัสเอชไอวีจะค่อย ๆ ทำลายระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายไปเรื่อย ๆ จนลดลงอย่างต่อเนื่อง…

  • เปิดตัวเว็บไซต์ “LOVE2TEST”

    มูลนิธิเพื่อรัก (love foundation) ได้เปิดตัวหนึ่งในโปรเจ็คใหม่ล่าสุด เป็น เว็บไซต์ที่มีชื่อว่า “LOVE2TEST” จุดประสงค์หลักของเว็บไซต์เป็นการ สนับสนุนโดยการเพิ่มช่องทางให้ผู้ที่อยู่ในภาวะกลุ่มเสี่ยง หรือต้องการเข้ารับการตรวจเอชไอวีสามารถหาสถานที่เปิดให้บริการ ตรวจ เอชไอวีได้ง่ายมากยิ่งขึ้น Love2TEST เว็บไซต์ที่ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการตรวจ และให้คำแนะนำ ในเรื่องเอชไอวีรวมไปถึงเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการใช้ยาเพร็พ (PrEP) กับ ยาเป๊ป (PEP) ทางเว็บไซต์ “LOVE2TEST” ต้องการเป็นหนึ่ง อีกหนึ่งสื่อในการสร้างความสะดวกในการเข้ารับการตรวจ เนื่องจากทางเว็บไซต์มี ช่องทางให้ผู้ที่อยากตรวจสามารถจองเข้าตรวจ ในสถานที่ใกล้และสะดวกที่สุดต่อ การเดินทาง ซึ่งเปิดให้บริการในการจองตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อทำการจองแล้ว สามาถเข้าไปรับการตรวจได้เลยทันที ตามสถานที่ให้บริการ โดยสามารถเข้าไป ทำการจองได้ที่เว็บไซต์ www.love2test.org หรือสามารถดาวโหลด Application ได้ทั้ง Applestore และ google Play : https://apps.apple.com/us/app/love2test/id1542144609 สถานบริการที่เข้าร่วมกับทางเว็บไซต์โดยมีให้บริการในทุกภาค สถานบริการที่เข้าร่วมกับทางเว็บไซต์โดยมีให้บริการในทุกภาค เช่น ในส่วนภาคเหนือได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ในภาคกลาง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร…

  • | |

    PEP เป๊ป คืออะไร?

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี Exposure prophylaxis เป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงโรคอื่น โดยก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากประวัติของคนไข้ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล(คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผล HIV เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น รู้จักยา PEP คืออะไร PEP ย่อมาจาก post-exposture prophylaxis หรือยาต้านฉุกเฉิน ทานหลังจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV  เป็นการรักษาระยะสั้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยยาที่ใช้ในกลุ่มนี้เป็นประเภท Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitor (NNRTIs) Integrase inhibitor strand transfer inhibitor (INSTs) และ Protease inhibitor(PIs) โดยทานยาครบตามที่แพทย์สั่ง การทานยาเป็ป(PEP)  การทานยา เป็ป(PEP)   จำเป็นต้องทานให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ คือ…