รู้ให้ชัด! เชื้อเอชไอวีติดต่อทางไหน และไม่ติดต่อทางไหน
แม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะมีความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี (HIV) เพิ่มมากขึ้น แต่ความเข้าใจผิดเรื่องการแพร่เชื้อเอชไอวี ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม หลายคนยังเข้าใจว่าเอชไอวีสามารถติดต่อผ่านการใช้แก้วน้ำร่วมกัน หรือแม้แต่การจับมือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง การขาดข้อมูลที่ถูกต้องไม่เพียงแต่สร้างความกลัวโดยไม่จำเป็น ยังเป็นการซ้ำเติมการตีตรา และเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อโดยไม่เป็นธรรม

เอชไอวี คืออะไร? เข้าใจไวรัสร้ายที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
เอชไอวี (HIV: Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่มีผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โดยเฉพาะการโจมตีเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 (T-helper cells) ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการป้องกัน และต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อเซลล์ CD4 ถูกทำลายลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง จนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อหรือควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง การติดเชื้อเอชไอวีจะลุกลามเข้าสู่ระยะสุดท้ายที่เรียกว่า โรคเอดส์ (AIDS: Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อราในปอด หรือมะเร็งบางชนิดที่มักไม่เกิดในคนทั่วไปที่มีภูมิคุ้มกันสมบูรณ์
การรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน
ข่าวดีคือในปัจจุบัน การรักษาด้วย ยาต้านไวรัส หรือที่เรียกว่า ART (Antiretroviral Therapy) ได้รับการพัฒนาไปไกลมาก ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ และเริ่มรับประทานยา ART อย่างสม่ำเสมอ สามารถลดปริมาณไวรัสในร่างกายจนถึงระดับที่เรียกว่า “ตรวจไม่พบ” (Undetectable viral load)
เมื่อไวรัสอยู่ในระดับต่ำมากจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ทั่วไป ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอง แต่ยังช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ลงจนแทบเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เรียกว่า U=U (Undetectable = Untransmittable)
ผู้ติดเชื้อที่รับการรักษาอย่างต่อเนื่องสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีอายุยืนเท่าคนทั่วไป มีคู่ครอง มีลูก และทำงานในสังคมได้เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่มีเชื้อ
การแพร่เชื้อเอชไอวีเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การติดต่อของเชื้อเอชไอวีไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด เพราะไวรัสชนิดนี้ไม่สามารถอยู่รอดได้นานในสภาพแวดล้อมภายนอก และไม่สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การกอด จับมือ หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน
การแพร่เชื้อเอชไอวีจากคนหนึ่งสู่อีกคน จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการพร้อมกัน ได้แก่
- มีเชื้อเอชไอวีในร่างกายของผู้แพร่เชื้อ ผู้ที่เป็นพาหะหรือมีเชื้อเอชไอวีในเลือด ไม่ว่าจะเป็นระยะเริ่มต้นหรือระยะเรื้อรัง หากยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ได้ควบคุมระดับไวรัสให้อยู่ในเกณฑ์ตรวจไม่พบ ก็มีโอกาสที่เชื้อจะถูกถ่ายทอดไปยังผู้อื่น
- มีของเหลวจากร่างกายที่มีเชื้อในปริมาณสูง ของเหลวในร่างกายที่สามารถมีเชื้อเอชไอวีในปริมาณมากและสามารถแพร่เชื้อได้จริง ได้แก่:เลือด
- น้ำอสุจิ
- สารคัดหลั่งจากช่องคลอด
- สารหล่อลื่นจากทวารหนัก
- น้ำนมแม่
- ของเหลวเหล่านี้สามารถเป็นพาหะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายของอีกคนได้ หากมีการสัมผัสผ่านช่องทางที่มีความเสี่ยง
- เชื้อเข้าสู่ร่างกายของผู้รับผ่านช่องทางที่เปิด หรือบอบบาง ช่องทางที่เชื้อเอชไอวีสามารถเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
- เยื่อบุอ่อนของอวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก
- แผลเปิด หรือรอยถลอกบนผิวหนัง
- การฉีดยาเข้าหลอดเลือดโดยใช้เข็มร่วมกัน
การถ่ายเลือด หรือปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ที่มีเชื้อ (ในกรณีที่ไม่มีการตรวจกรองอย่างเข้มงวด
หากไม่มีครบทั้ง 3 เงื่อนไขข้างต้น ความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีจะต่ำหรือแทบไม่มีเลย

ช่องทางที่เอชไอวีสติดต่อได้จริง
การติดเชื้อเอชไอวีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการถ่ายเทของของเหลวที่มีเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านช่องทางที่มีความเสี่ยง ซึ่งมีช่องทางหลักดังนี้
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- รวมถึงเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก
- ความเสี่ยงสูงที่สุดคือเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เนื่องจากเยื่อบุบาง ฉีกขาดง่าย
- การมีแผลในช่องปากหรืออวัยวะเพศจะยิ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- พบบ่อยในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด
- หากเข็มมีเลือดของผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี แม้ปริมาณเล็กน้อย ก็สามารถนำเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที
- นอกจากยาเสพติด ยังรวมถึงกิจกรรมอื่นๆ เช่น การสัก ฝังเข็ม เจาะร่างกาย ที่ใช้อุปกรณ์ไม่สะอาด
- การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
- เกิดได้ใน 3 ช่วงคือ: ขณะตั้งครรภ์, ระหว่างคลอด, และช่วงให้นม
- หากแม่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส โอกาสที่ทารกจะติดเชื้ออยู่ระหว่าง 15–45%
- แต่หากแม่ได้รับการดูแลด้วย ART อย่างเหมาะสม โอกาสจะลดลงเหลือน้อยกว่า 1%
- การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ
- ในประเทศที่มีการคัดกรองเลือดไม่ทั่วถึง อาจยังมีความเสี่ยง
- การปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ติดเชื้อโดยไม่ทราบสถานะเอชไอวี ก็เป็นอีกช่องทาง
- ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบคัดกรองที่เข้มงวด ความเสี่ยงจึงต่ำมาก
ของเหลวในร่างกายที่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้
ของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อเอชไอวีในปริมาณสูงเพียงพอที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ มีดังนี้
- เลือด เป็นของเหลวที่มีความเข้มข้นของไวรัสมากที่สุด การสัมผัสเลือดโดยตรงผ่านแผลเปิด หรือการใช้เข็มร่วมกัน มีความเสี่ยงสูงมาก
- น้ำอสุจิ พบในผู้ชาย สามารถแพร่เชื้อได้หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีแผลในอวัยวะเพศ หรือภาวะอักเสบ
- สารคัดหลั่งจากช่องคลอด มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับน้ำอสุจิ โดยเฉพาะหากเข้าสู่เยื่อบุที่อ่อนบางของคู่นอน
- น้ำหล่อลื่นจากทวารหนัก (rectal mucus) สามารถมีไวรัสได้ โดยเฉพาะหากมีแผล หรือรอยถลอกในบริเวณดังกล่าว การใช้ถุงยางอนามัย และสารหล่อลื่นที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงได้
- น้ำนมแม่ สามารถแพร่เชื้อไปยังทารกที่ดูดนมได้ หากแม่มีไวรัสในระดับสูงและไม่ได้รับการรักษา
ของเหลวในร่างกายที่ไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวี
ของเหลวต่อไปนี้อาจมีไวรัสอยู่ในปริมาณเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อในชีวิตประจำวัน
- น้ำลาย
- น้ำตา
- ปัสสาวะ
- เหงื่อ
- อุจจาระ
ดังนั้น การจูบ จับมือ ใช้ห้องน้ำร่วมกัน หรือแม้แต่กินอาหารร่วมกันกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่ทำให้ติดเชื้ออย่างแน่นอน

ความเข้าใจผิด! พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี
- การกอด จับมือ หรือใช้ชีวิตร่วมกัน การสัมผัสทางกาย เช่น กอด จับมือ หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน ไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เพราะไม่มีการแลกเปลี่ยนของเหลวที่มีเชื้อ
- การใช้ภาชนะร่วมกัน การกินข้าว ใช้แก้วน้ำ ช้อนส้อม ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ เพราะเอชไอวีไม่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมภายนอกได้
- การจูบแบบปิดปาก (ไม่มีน้ำลาย หรือเลือด) เอชไอวีไม่สามารถแพร่ผ่านน้ำลายเพียงอย่างเดียว การจูบที่ไม่มีการแลกเลือด หรือแผลในปาก ถือว่าไม่มีความเสี่ยง
- การถูกแมลงกัด เอชไอวีไม่สามารถแพร่ผ่านทางยุง หรือแมลงอื่นๆ ได้ เพราะแมลงไม่สามารถเป็นพาหะของไวรัสชนิดนี้
- การทำงานร่วมกับผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน เรียนด้วยกัน หรือร่วมกิจกรรมต่างๆ กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อแต่อย่างใด
ทำไมต้องเข้าใจช่องทางการติดต่อเอชไอวีอย่างถูกต้อง?
การเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแพร่เชื้อเอชไอวีไม่ใช่แค่เรื่องของข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเชิงสังคมอย่างรุนแรง ความเข้าใจผิดเหล่านี้นำไปสู่การตีตรา การรังเกียจ และการเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทั้งที่ผู้ติดเชื้อจำนวนมากสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้ หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม
เมื่อสังคมยังเต็มไปด้วยความเชื่อผิดๆ เช่น คิดว่าเอชไอวีติดต่อได้จากการจับมือ ใช้แก้วน้ำร่วมกัน หรือการนั่งใกล้กัน ผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยสถานะของตนเอง ด้วยความกลัวว่าจะถูกตัดสิน กลั่นแกล้ง หรือแม้กระทั่งถูกปฏิเสธจากครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน
ความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผลเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเข้ารับการตรวจ การรักษา และการใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติ ทั้งที่ความจริงคือ หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ จนไวรัสในเลือดลดลงจนตรวจไม่พบ (Undetectable) พวกเขาจะไม่สามารถแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้เลย ซึ่งเป็นหลักฐานที่ได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC)
ดังนั้น การให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคมจึงเป็นกุญแจสำคัญ ไม่เพียงแต่เพื่อการป้องกันตนเองจากความเสี่ยง แต่ยังช่วยลดอคติ และสร้างสังคมที่เข้าใจผู้มีเชื้ออย่างแท้จริง
ข้อควรทำเพื่อป้องกันเอชไอวีอย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณหรือคนรอบตัวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี การป้องกันด้วยวิธีที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน โดยควรปฏิบัติดังนี้
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก ถุงยางช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน และเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่มีคู่นอนใหม่
- ใช้ PrEP (ยาเพร็พ) หากมีพฤติกรรมเสี่ยงสูง เพราะ PrEP คือ ยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่สามารถกินล่วงหน้าได้ก่อนมีพฤติกรรมเสี่ยง เหมาะสำหรับผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีคู่นอนที่ไม่ทราบสถานะเอชไอวี
- ตรวจเลือดเอชไอวีเป็นประจำทุก 3–6 เดือน การตรวจเป็นประจำช่วยให้ทราบสถานะเร็ว หากติดเชื้อจะสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ยังเป็นการรับผิดชอบต่อคู่ของคุณและป้องกันการแพร่เชื้อในอนาคต
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น รวมถึงการสัก ฝังเข็ม หรือเจาะร่างกาย ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์สะอาดและปลอดเชื้อ หากคุณอยู่ในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด ควรเข้าร่วมโปรแกรมลดอันตราย เช่น การแจกเข็มสะอาด (Harm Reduction)
- ปรึกษาแพทย์หากเกิดเหตุการณ์เสี่ยง เช่น ถุงยางแตก, มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันกับคนที่มีสถานะไม่แน่ชัด, หรือกรณีที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ PEP (ยาต้านฉุกเฉิน) ซึ่งต้องเริ่มกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากเหตุการณ์
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์
เสี่ยง – ไม่เสี่ยงก็ต้องตรวจเอชไอวี
การติดเชื้อเอชไอวีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการถ่ายเทของของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อผ่านช่องทางเสี่ยง เช่น เพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ใช้เข็มร่วมกัน หรือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ส่วนการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น การกอด การจับมือ การกินข้าวร่วมกัน ไม่สามารถทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้
การรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่เพียงช่วยปกป้องตัวคุณเองจากการติดเชื้อ แต่ยังช่วยขจัดความกลัว ความรังเกียจ และการตีตราที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ติดเชื้ออีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Transmission. Information on how HIV is spread through blood, semen, vaginal fluids, and breast milk. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/transmission.html
- World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheet. Global overview of HIV transmission, prevention, and treatment. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
- HIV.gov. How Is HIV Transmitted? Overview of bodily fluids and activities that can spread HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.hiv.gov/hiv-basics/overview/about-hiv-and-aids/how-is-hiv-transmitted
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับเอชไอวีและเอดส์ การติดเชื้อ การป้องกัน และแนวทางการดูแล. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=23
- มูลนิธิเข้าถึงเอดส์. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี ช่องทางการติดต่อ และการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.aidsaccess.com



