เมื่อเด็กติดเชื้อเอชไอวี ความท้าทาย และการดูแลที่ครอบครัวควรรู้
เอชไอวี (HIV) ไม่ได้เป็นโรคที่พบเฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร เด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีตั้งแต่วัยเยาว์ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม การดูแลเด็กเหล่านี้จึงต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือจากครอบครัว แพทย์ และชุมชน เราจะมาทำความเข้าใจว่าเอชไอวีในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างไร ความท้าทายที่ต้องเผชิญมีอะไรบ้าง และครอบครัวควรดูแล และสนับสนุนเด็กอย่างไรเพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี

เอชไอวีในเด็ก คืออะไร?
เอชไอวีในเด็ก (Pediatric HIV) คือ ภาวะที่เด็กติดเชื้อไวรัสเอชไอวีตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ คลอด หรือวัยทารก/วัยเด็ก โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก (mother-to-child transmission: MTCT) ระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร หาก ไม่ได้รับการป้องกันใด ๆ ความเสี่ยงถ่ายทอดเชื้ออยู่ที่ประมาณ 15–45% แต่สามารถลดลงเหลือ ต่ำกว่า 5% เมื่อมารดาและทารกได้รับยาต้านไวรัส และการดูแลที่เหมาะสมตลอดช่วงเสี่ยง (ตั้งครรภ์–คลอด–หลังคลอด/ให้นม) และเมื่อควบคุมไวรัสจนไม่ตรวจพบ ความเสี่ยงผ่านน้ำนมแม่ลดได้ถึง <1% แม้ ไม่เป็นศูนย์ ตามคำแนะนำล่าสุดของหน่วยงานสาธารณสุขหลัก
การติดเชื้อเอชไอวีในเด็กเกิดขึ้นได้อย่างไร?
- การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก (MTCT) — ช่องทางหลัก
- ระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อผ่านรกจากแม่สู่ทารกได้
- ระหว่างคลอด เด็กสัมผัสเลือด/สารคัดหลั่งของมารดา
- ระหว่างให้นมบุตร โดยเฉพาะกรณีที่มารดายังไม่ได้รับ/ไม่ได้ยึดมั่นการใช้ยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง
แนวทางสมัยใหม่เน้น ตรวจให้พบ–เริ่มยาต้านไวรัส ART ทันที–คงระดับไวรัสต่ำจนไม่ตรวจพบ เพื่อกดความเสี่ยงลงอย่างมากในทุกช่วงเวลา.
- การติดเชื้อผ่านเลือด หรือเข็ม/เครื่องมือที่ปนเปื้อน ในเด็กพบได้น้อยในระบบบริการที่มีมาตรฐาน (มีการคัดกรองเลือด และอุปกรณ์ปลอดเชื้อ) แต่ยังเป็นความเสี่ยงได้หากมีการใช้เข็มร่วมกันหรือเครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน.
- การถูกล่วงละเมิดทางเพศ แม้เป็นกรณีที่พบไม่บ่อย และละเอียดอ่อน แต่เป็นช่องทางที่เป็นไปได้ จำเป็นต้องได้รับการดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพ (แพทย์/สังคมสงเคราะห์/คุ้มครองเด็ก)
อาการของเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี
อาการในเด็กอาจไม่จำเพาะ และทับซ้อนกับโรคเด็กทั่วไป จึงต้องอาศัยดัชนีสงสัยร่วมกับประวัติเสี่ยง
- การเจริญเติบโตช้า/น้ำหนักไม่ขึ้น (failure to thrive) และ ส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์, เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ล่าช้าเมื่ออายุมากขึ้น
- ติดเชื้อซ้ำบ่อย โดยเฉพาะทางเดินหายใจ เช่น ปอดบวม หูอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ มากกว่าปกติ
- ท้องเสียเรื้อรัง, มีไข้เรื้อรัง/ต่อมน้ำเหลืองโต, ตับ หรือม้ามโต
- พัฒนาการทางสมอง/การเรียนรู้ช้าลง หรือพัฒนาการถดถอย เมื่อไม่ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
- โรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น เชื้อราในช่องปาก วัณโรค ปอดบวมซ้ำ ๆ โดยเฉพาะในเด็กที่ยังไม่ได้เริ่ม ART หรือควบคุมไวรัสได้ไม่ดี
หมายเหตุ: เด็กที่มีประวัติมารดาติดเชื้อเอชไอวี หรือมีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ ข้างต้น ควรได้รับการ ตรวจวินิจฉัยอย่างทันท่วงที และ เริ่ม ART เร็ว เพื่อกดปริมาณไวรัส ลดการป่วย/ตาย และช่วยให้การเติบโตพัฒนาการใกล้เคียงเด็กทั่วไปมากที่สุด

การรักษาเอชไอวีในเด็ก
ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ART) เป้าหมายเพื่อกดปริมาณไวรัสให้ตรวจไม่พบ (viral suppression) ฟื้นภูมิคุ้มกัน ลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิต และลดการแพร่เชื้อในชุมชน
- ควรเริ่มทันทีเมื่อวินิจฉัย (treat-all, same-day/rapid start เมื่อทำได้) ไม่ต้องรอค่า CD4 เพราะการเริ่มยาเร็วที่สุดสัมพันธ์กับการรอดชีวิต และพัฒนาการที่ดีกว่าในทารก และเด็กเล็ก
- สูตรยาที่แนะนำในเด็กส่วนใหญ่: แนวทางองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ สูตรที่มี dolutegravir (DTG) เป็นหลักสำหรับเด็กที่ หนัก ≥3 กก. และอายุ ≥4 สัปดาห์ โดยใช้เม็ดยากระจายได้ (pDTG 10 mg) ร่วมกับ NRTIs ตามน้ำหนัก/อายุ (เช่น ABC/3TC หรือ TDF/FTC ในเด็กโต) ทั้งนี้ให้แพทย์พิจารณาตามแนวทางประเทศ และความพร้อมของยา
- ทารกแรกเกิดที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ DTG: อาจใช้ทางเลือกอื่นตามแนวทาง (เช่น raltegravir แบบผง/น้ำ หรือสูตร non-DTG ชั่วคราว) ก่อนเปลี่ยนเป็นสูตร DTG เมื่อเข้าเกณฑ์ (แนวทางประเทศจะกำหนดรายละเอียดปฏิบัติ)
เคล็ดลับการดูแล: สูตร DTG-based ในเด็กมีข้อดีเรื่อง ออกฤทธิ์เร็ว ความทนต่อยาดี รูปแบบยากระจายได้กลืนง่าย จึงช่วยเรื่องการกินยาสม่ำเสมอได้มากในทางปฏิบัติ
การรักษา และป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
- เด็กที่ติดเชื้อ หรือสัมผัสเชื้อ จำเป็นต้อง ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสด้วยโคไตรม็อกซาโซล (co-trimoxazole) ตามแนวทาง (โดยเฉพาะในทารกที่เกิดจากแม่มีเอชไอวีจนกว่าจะตัดความเสี่ยงติดเชื้อได้) เพื่อลดภาวะปอดอักเสบจากเชื้อฉวยโอกาส และการเสียชีวิต
- คัดกรอง/ป้องกันวัณโรค (TB preventive therapy: TPT) ในรายที่มีปัจจัยเสี่ยง หรือสัมผัสผู้ป่วยวัณโรค ตามแนวทางประเทศ/WHO
- รักษา OI เฉพาะโรค (เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา ยาต้านไวรัส) ควบคู่กับการเริ่ม/คงการใช้ ART
การติดตามผลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยหลักจะมีการติดตาม viral load (VL) เพื่อยืนยันว่ากดไวรัสได้จริงและยาวนาน
- แนวทาง WHO/UNAIDS แนะนำตรวจ VL ที่ 6 เดือนหลังเริ่ม ART จากนั้น ที่ 12 เดือน และ อย่างน้อยทุกปี ในรายที่คงที่; หากกดไม่ดีอาจต้องตรวจถี่ขึ้น และประเมินสาเหตุ (การกินยาไม่สม่ำเสมอ/ดื้อยา) ค่า CD4 ใช้ประกอบในบางบริบท แต่ VL คือ มาตรฐานทอง ในการประเมินการรักษา
- โดยทั่วไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะ กดไวรัสได้ภายใน ~6 เดือน หากกินยาสม่ำเสมอ และสูตรยามีประสิทธิภาพ
- นอกจาก VL/CD4 ให้ติดตาม การเจริญเติบโต พัฒนาการ โภชนาการ การทำงานของตับ/ไต ไขมันในเลือด รวมถึง วัคซีน ตามตารางสำหรับเด็กติดเชื้อ หรือสงสัยติดเชื้อ (ตารางวัคซีนของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กฯ อัปเดตทุกปี)
ความท้าทายสำคัญในการดูแลเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี
- ด้านการแพทย์
- การกินยาทุกวัน ต่อเนื่อง ตลอดชีวิต—ต้องออกแบบวิธีช่วยจำ/ช่วยกลืน และเลือกสูตร/รูปแบบยาที่สอดคล้องกับช่วงวัย
- การเจาะเลือดติดตาม (VL/CD4/เคมีเลือด) ตามนัด เพื่อปรับแผนเมื่อจำเป็น
- ผลข้างเคียง: คลื่นไส้ อาเจียน ผื่น ค่าตับ/ไตผิดปกติ ภาวะเลือดจาง หรืออาการจำเพาะของยาแต่ละชนิด (เช่น แพ้ ABC, นอนไม่หลับ/ปวดศีรษะจากยาบางกลุ่ม) ต้องเฝ้าระวัง และปรับการรักษาอย่างเหมาะสมตามแนวทาง OI/ARV เด็กล่าสุด
- ด้านจิตใจ
- เด็กเล็กอาจไม่เข้าใจเหตุผลของการกินยาเป็นประจำ—ผู้ดูแลต้อง อธิบายแบบเหมาะวัย และสร้างกิจวัตรที่ทำได้จริง
- เมื่อโตขึ้น อาจเผชิญความรู้สึกแตกต่าง หรือความกังวลเรื่องอนาคต จำเป็นต้องมี การให้คำปรึกษา (counseling) และแผน เปิดเผยสถานะต่อเด็ก (age-appropriate disclosure) อย่างค่อยเป็นค่อยไป
- ด้านสังคม
- การตีตรา/เลือกปฏิบัติ ทำให้หลีกเลี่ยงการรักษา หรือขาดยาได้ง่าย ต้องทำงานร่วมกับโรงเรียน ชุมชน และหน่วยสังคมสงเคราะห์ เพราะการเข้าถึงการตรวจ/รักษาไม่ทัน และถูกตีตรา การสื่อสารสาธารณะอย่างถูกต้องช่วยให้ครอบครัวเข้ารับบริการเร็วขึ้น และเด็กมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
- สิทธิ และการศึกษา เด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี มีสิทธิในการศึกษา และใช้ชีวิตเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป โรงเรียนควรมีนโยบาย ไม่เลือกปฏิบัติ (anti-discrimination) คุ้มครองความลับทางการแพทย์ และสนับสนุนการมาพบแพทย์ตามนัด (เช่น อนุญาตลางาน/สอบชดเชย) ซึ่งเป็นหัวใจของการคงการรักษา
- อุปสรรคทางเศรษฐกิจ อาจกระทบการเดินทางมาตรวจ และความต่อเนื่องของการรักษา—ควรเชื่อมต่อระบบสิทธิ/สวัสดิการ และโครงการสนับสนุน
บทบาทสำคัญของครอบครัว
- ให้ความรัก/ความรู้สึกปลอดภัย: ลดความเครียด เพิ่มแรงจูงใจในการรักษา
- กำกับการกินยา: ตั้งนาฬิกา/ตาราง กินเวลาคงที่ สร้างกิจวัตร (ก่อนนอน/หลังแปรงฟัน ฯลฯ) และแจ้งแพทย์เมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์
- ให้ความรู้ตามวัย: อธิบายโรค วิธีดูแลตนเอง การป้องกันการแพร่เชื้อด้วยภาษาที่เด็กเข้าใจ
- ประสานงานกับทีมแพทย์: มาตรวจตามนัด เก็บผลเลือด ปรับสูตรยา และขอรับเอกสาร/แบบฟอร์มที่โรงเรียนจำเป็นต้องทราบ
การป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก (PMTCT)
- ตรวจคัดกรองเอชไอวีในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย และตรวจซ้ำในกลุ่มเสี่ยง
- ให้ยาต้านไวรัส ART แก่หญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อทันที และคุมไวรัสจนตรวจไม่พบ ตลอดการตั้งครรภ์–คลอด–หลังคลอด
- ดูแลการคลอด และให้ยาป้องกันทารกหลังคลอด ตามแนวทางประเทศ
- แนวทางการให้นมบุตร: หลายประเทศ/WHO สนับสนุนการให้นมแม่ภายใต้การคุมไวรัสที่ตรวจไม่พบ และการติดตามใกล้ชิด (ความเสี่ยงต่ำมากแต่ไม่เป็นศูนย์) ให้ยึดแนวทางท้องถิ่นร่วมกับการปรึกษาทีมดูแล
- ประเทศไทยได้รับการรับรองกำจัดการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก ตั้งแต่ปี 2016 สะท้อนประสิทธิภาพของระบบคัดกรอง และการให้ยาต้านไวรัส ART ในหญิงตั้งครรภ์—มาตรการยังคงต้องดำเนินต่อเนื่องเพื่อคงความสำเร็จนี้
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์
เสี่ยง – ไม่เสี่ยงก็ต้องตรวจเอชไอวี
เด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ และการสนับสนุนจากครอบครัว และสังคม เด็กเหล่านี้สามารถเติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ครอบครัวควรมีบทบาทสำคัญในการดูแล ให้ความรัก ความเข้าใจ และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พวกเขามีอนาคตที่สดใสไม่ต่างจากเด็กทั่วไป
เอกสารอ้างอิง
- UNAIDS. (2024). Children and HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/topic/children
- World Health Organization (WHO). (2023). HIV in children and adolescents. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก:https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-in-children-and-adolescents
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). HIV and Children. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/group/age/children
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2566). สถานการณ์และการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
- องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières). (2022). การดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีในเด็กและวัยรุ่น. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.msf.org/th



