เอดส์ระยะที่ 2 เป็นอย่างไร

เอดส์ระยะที่ 2 เป็นอย่างไร

เอดส์ระยะที่ 2 หลายคนอาจเข้าใจว่า การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคเอดส์ (AIDS) เป็นโรคเดียวกัน ดังนั้นบ่อยครั้ง จะใช้คำว่า “เอดส์” แทน “การติดเชื้อเอชไอวี” และเมื่ออ้างถึงระยะของโรค เช่น เอชไอวีระยะที่ 1 เอชไอวีระยะที่ 2 และเอดส์ระยะสุดท้าย แต่ในความจริงแล้ว การติดเชื้อเอชไอวี ถูกแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะที่ 2 มีการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ดูแลตัวเองอย่างดี เชื้อเอชไอวีจะไม่พัฒนาเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือระยะเอดส์ กล่าวคือผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่กลายเป็นเอดส์ทุกคน และสามารถมีชีวิตอยู่ได้เหมือนกับคนปกติทั่วไปโดยไม่เจ็บป่วยจากโรค

เอดส์ระยะที่ 2 เป็นอย่างไร

เชื้อเอชไอวีกับ เอดส์ระยะที่ 2 แตกต่างกันอย่างไร?

Love2test

การติดเชื้อเอชไอวี หรือไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในมนุษย์ และโรคเอดส์ไม่ใช่สิ่งที่เหมือนกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากเอดส์เป็นระยะหลังของการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ใช้เข็มฉีดยาที่ใช้กันร่วมกับผู้ติดเชื้อ การได้รับเลือดที่ติดเชื้อ หรือสัมผัสจากแม่ติดเชื้อ หากเป็นช่วงเวลาที่ปริมาณการติดเชื้อยังไม่มากนัก ผู้ป่วยอาจมีอาการเหมือนไข้หวัด เช่น ไข้หวัด ปวดศีรษะ ไอเจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโตอักเสบ หรือปวดเมื่อยตามตัว เป็นต้น

หรือกับบางคนแทบไม่มีอาการใดๆ เลยที่จะสังเกตเห็นได้ ดังนั้น ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือรับการรักษาในช่วงนี้ และหากผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ดูแลตัวเอง การไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น ไม่ทานยาอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้การติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่เฟสที่ 2 หรือที่ผู้คนเรียกกันว่า เอดส์ระยะที่ 2 เพราะการไม่ได้รับยาต้านไวรัสตั้งแต่เริ่มต้น เชื้อจะทำการแบ่งตัวเจริญเติบโตในร่างกาย และเพิ่มขึ้นตามเวลา

เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 ปี เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือ CD4 ที่มีหน้าที่ทำการต่อสู้กับเชื้อโรค จะเริ่มลดลง หากจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวในผู้ติดเชื้อมีน้อยกว่า 200 หรือถ้าเกิดการติดเชื้อโรค อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น วัณโรค เชื้อราในช่องปาก ปอดบวม แพทย์จะพิจารณาว่าเป็นระยะที่ 3 หรือช่วงสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเรียกว่าเป็นเอดส์ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถต้านการเข้าทำลายจากเชื้อโรคได้อีกต่อไป และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนอื่นๆ และรุนแรงขึ้น

Love2test

ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวี

เมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด น้ำหล่อลื่นทางทวารหนัก หรือน้ำนมจากแม่ที่มีเชื้อเอชไอวี ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ ประกอบไปด้วย:

ปัจจัยเสี่ยง เอดส์ระยะที่ 2
  • การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน หรือคู่นอนที่ไม่ทราบประวัติสุขภาพทางเพศ
  • มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส เริมที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ โรคพยาธิในช่องคลอด ฯลฯ
  • ผู้ใช้สารเสพติด และใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี ติดต่อผ่านไปยังทารกในครรภ์ และในระหว่างการคลอดบุตรทางช่องคลอด และการให้นมบุตรหลังคลอด

การรักษาผู้ติดเชื้อ เอดส์ระยะที่ 2

  • ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy) ตามคำแนะนำของแพทย์ ช่วยให้การติดเชื้อเอชไอวียังคงอยู่ในระยะที่ 2 โดยไม่พัฒนาไปสู่โรคเอดส์ ช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันซ่อมแซมตัวเอง และช่วยป้องกันไม่ให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายถูกทำลายไปมากกว่านี้ จึงทำให้สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้
  • ไวรัสเอชไอวีมีการปรับตัวได้เร็ว และดื้อต่อยาได้ง่าย ดังนั้น ผู้ติดเชื้อจึงจำเป็นต้องรับประทานยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัด เป็นประจำทุกวัน และไม่ขาดยา เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสตลอดเวลา
  • ผู้ที่ได้รับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี และรับประทานยาต้านอย่างต่อเนื่อง จะมีปริมาณไวรัสลดลงจนตรวจแทบไม่พบ (U=U) ปริมาณไวรัสเอชไอวีที่ตรวจไม่พบ ไม่ได้หมายความว่าไวรัสจะหายไปจากร่างกายอย่างถาวร เนื่องจากเชื้ออาจแฝงตัวอยู่ในเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น สมอง และต่อมน้ำเหลือง หากหยุดการรักษา เชื้อเอชไอวีจะหลุดออกจากที่ซ่อน และไหลกลับเข้าสู่กระแสเลือด เพิ่มจำนวนมาทำลายสุขภาพของผู้ติดเชื้อได้ในภายหลัง
  • โดยทั่วไป ผู้ติดเชื้อเอชไอวีระยะที่ 2 ที่รับประทานยาต้านไวรัสทุกวัน อาจอยู่ในระยะนี้ไปตลอดชีวิต โดยไม่พัฒนาไปสู่โรคเอดส์เลย และสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเท่ากับผู้ที่ไม่ติดเชื้อเลยทีเดียว แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และเข้าสู่ระยะเอดส์ ผู้ที่ติดเชื้อต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน หรือโรคฉวยโอกาสได้ง่าย หากไม่มีการรักษาทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะสุดท้าย อาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็น เอดส์ระยะที่ 2

วิธีการดูแลตนเองเมื่อติดเชื้อเอชไอวี ไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อเอชไอวีในระยะที่ 2 ซึ่งมักเรียกว่า เอดส์ ระยะที่ 2 หรือระยะอื่นๆ อาจปฏิบัติได้ดังนี้

“ChatLove2test"
  • กินยาต้านไวรัส เป็นประจำทุกวัน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักใบเขียว พืชตระกูล ถั่ว ส้ม ผลไม้ที่มีอนุมูลอิสระ ซึ่งดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อไก่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ โยเกิร์ต และชีส ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
  • การกินอาหารมื้อเล็กๆ หลายๆ มื้อ แทนที่จะกินมื้อใหญ่เพียง 2-3 มื้อในแต่ละวัน อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ อันเป็นผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสได้
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อของคุณ ลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า อีกทั้งยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายไม่ตอบสนองต่อยาต้านไวรัส และส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น มะเร็ง วัณโรคปอด ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเชื้อเข้าสู่ระยะเอดส์ขั้นสุดท้ายแล้ว
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็น เอดส์ระยะที่ 2

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ความเครียดทางอารมณ์ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

การรักษา HIV ด้วยยาต้านไวรัส

“PrEPLove2test"

กล่าวโดยสรุปคือ ระยะการติดเชื้อเอชไอวี แบ่งออกเป็นสามระยะด้วยกัน โดยระยะแรก เป็นการติดเชื้อเอชไอวีเฉียบพลัน ระยะฟักตัวทางคลินิก (HIV ไม่ได้อยู่เฉยๆ) และระยะเอดส์ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อเอชไอวี มักไม่เรียกว่า เอชไอวีระยะที่ 2 ที่ถือว่าอยู่ในระยะแฝงทางคลินิก และผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการใดๆ แต่เชื้อไวรัสยังคงโจมตีระบบภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง ระยะของขั้นตอนนี้อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส และสุขภาพโดยรวม หากติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้รับการรักษา เชื้อไวรัสก็จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันในที่สุด ทำให้ผู้ติดเชื้อมีโอกาสสูงที่จะเป็นมะเร็งบางชนิด เวลานี้ผู้ป่วยถึงจะได้รับการตรวจพบว่าเป็นโรคเอดส์

Similar Posts

  • | |

    PEP เป๊ป คืออะไร?

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี Exposure prophylaxis เป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงโรคอื่น โดยก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากประวัติของคนไข้ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล(คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผล HIV เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น รู้จักยา PEP คืออะไร PEP ย่อมาจาก post-exposture prophylaxis หรือยาต้านฉุกเฉิน ทานหลังจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV  เป็นการรักษาระยะสั้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยยาที่ใช้ในกลุ่มนี้เป็นประเภท Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitor (NNRTIs) Integrase inhibitor strand transfer inhibitor (INSTs) และ Protease inhibitor(PIs) โดยทานยาครบตามที่แพทย์สั่ง การทานยาเป็ป(PEP)  การทานยา เป็ป(PEP)   จำเป็นต้องทานให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ คือ…

  • การรักษา HIV ด้วยยาต้านไวรัส

    การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) เป็นการรักษาโรคเอดส์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาร่วมกันเพื่อชะลอการลุกลามของไวรัส บทความนี้อธิบายว่า ART คืออะไร ทำงานอย่างไร และประโยชน์ของมัน

  • | |

    เสี่ยง – ไม่เสี่ยงก็ต้องตรวจเอชไอวี

    ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเชื้อเอชไอวี (HIV) แม้ปัจจุบันนี้ข่าวคราวเกี่ยวกับโรคเอดส์จะเงียบหายไป แต่จำนวนผู้ติดเชื้อตอนนี้กลับไม่ได้เงียบหายตามข่าว ดังนั้น หน่วยงานต่างๆ จึงร่วมกันส่งเสริมให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับเชื้อตัวนี้ ไม่ว่าคุณจะมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง ยังไงเราก็แนะนำว่าทุกคนควรต้องตรวจเอชไอวีอยู่ดี ตรวจเลือดเป็นประจำ ตรวจเลือดเป็นประจำทุก 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมความเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์หรือความถี่ในการสัมผัสสารคัดหลั่ง… “ทุกวันนี้ เอชไอวี ตรวจฟรี ตรวจเร็ว โดยให้คนไทยที่มีบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก สามารถ ตรวจเอชไอวีได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ทุกโรงพยาบาลที่ให้บริการภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกอบกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้สามารถตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้รวดเร็วและแม่นยำ และควรตรวจหาเชื้อเอชไอวีหลังจากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัยหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ประมาณ 1 เดือน เมื่อทราบผลว่าไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะได้รับการปรึกษาเรื่องการป้องกัน การติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ต่อไป หากพบการติดเชื้อเอชไอวี จะได้เข้ารับการรักษาโดยเร็ว” รู้เร็ว รักษาเร็ว ใช้ชีวิตได้ปกติ เอชไอวี รู้เร็ว ยังมีโอกาสใช้ชีวิตได้ปกติแต่หากเข้ารักษาล่าช้า จะเริ่มป่วยและมีอาการของโรคแทรกซ้อนตามมา ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดโรคเรื้อรังได้ง่าย แล้วเชื้อเอชไอวีในร่างกายจะเพิ่มขึ้น จนถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีไปสู่คู่นอนและผู้อื่นได้ อย่ากังวลและเครียดจนเกินเหตุ สำหรับผู้ที่ทราบถึงภาวะการติดเชื้อแล้ว…

  • ทำความรู้จักยา ARV ยาที่เปลี่ยนชีวิตผู้ติดเชื้อ HIV

    ยา ARV (Antiretroviral) เป็นกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV (Human Immunodeficiency Virus) โดยมีเป้าหมายหลักในการลดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด ยา ARV ทำงานโดยการยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส HIV และป้องกันไม่ให้เชื้อทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งส่งผลให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

  • |

    เมื่อเด็กติดเชื้อเอชไอวี ความท้าทาย และการดูแลที่ครอบครัวควรรู้

    เอชไอวี (HIV) ไม่ได้เป็นโรคที่พบเฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร เด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีตั้งแต่วัยเยาว์ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม การดูแลเด็กเหล่านี้จึงต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือจากครอบครัว แพทย์ และชุมชน เราจะมาทำความเข้าใจว่าเอชไอวีในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างไร ความท้าทายที่ต้องเผชิญมีอะไรบ้าง และครอบครัวควรดูแล และสนับสนุนเด็กอย่างไรเพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี

  • |

    U=U คืออะไร? ทำความเข้าใจเพื่อลดการตีตรา และยกระดับความเข้าใจในสังคม

    ในยุคปัจจุบัน เอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ถูกเข้าใจผิด และเป็นสาเหตุของการตีตราในสังคม แม้ว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์จะทำให้ผู้มีผลเลือดบวกสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ความเข้าใจผิด และความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผลยังคงส่งผลให้หลายคนเลือกที่จะตีตัวออกห่างหรือปฏิเสธการอยู่ร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ การรับรู้ และเข้าใจแนวคิดใหม่ ๆ อย่าง U=U จะช่วยยกระดับทัศนคติที่ดีขึ้น ลดการตีตรา และสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างไร้กังวล