เนื้องอกกัมม่า (Gummas) สัญญาณเงียบของโรคซิฟิลิสที่เรื้อรัง

เนื้องอกกัมม่า (Gummas) สัญญาณเงียบของโรคซิฟิลิสที่เรื้อรัง

เนื้องอกกัมม่า เป็นหนึ่งในอาการที่พบในโรคซิฟิลิสระยะที่สาม (Tertiary Syphilis) ซึ่งเป็นระยะเรื้อรังของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum แม้ว่าโรคซิฟิลิสจะสามารถรักษาได้ง่ายในระยะเริ่มต้นด้วยยาปฏิชีวนะ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น โรคอาจลุกลามเข้าสู่ระยะที่สาม และกัมม่าคือหนึ่งในผลลัพธ์ที่น่ากังวลของกระบวนการดังกล่าว

เนื้องอกกัมม่า (Gummas) สัญญาณเงียบของโรคซิฟิลิสที่เรื้อรัง

เนื้องอกกัมม่า คืออะไร?

เนื้องอกกัมม่า (Gummas) คือ ก้อนเนื้องอกอักเสบที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อซิฟิลิสเรื้อรัง โดยทั่วไปกัมม่าจะไม่เจ็บปวดในระยะแรก แต่สามารถลุกลาม ทำลายเนื้อเยื่อ และสร้างความเสียหายต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง กระดูก ตับ หรือแม้แต่สมอง

เนื้องอกกัมม่าจัดเป็นอาการแสดงของโรคซิฟิลิสระยะที่สาม ซึ่งมักจะปรากฏหลังจากติดเชื้อมานาน 10-30 ปีโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

Love2test

ลักษณะของเนื้องอกกัมม่า

  • ลักษณะเป็นก้อนหรือตุ่มแข็งใต้ผิวหนัง
  • ผิวบริเวณที่มีตุ่มอาจเปลี่ยนสีหรือมีรอยบุ๋ม
  • กัมม่าอาจกลายเป็นแผลเปิด และติดเชื้อซ้ำได้
  • หากอยู่ในกระดูก อาจทำให้เกิดอาการปวด และเสียรูปกระดูก
  • หากอยู่ในอวัยวะภายใน เช่น ตับหรือสมอง อาจส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตได้

ตำแหน่งที่พบบ่อย

  • ผิวหนังบริเวณใบหน้า แขน ขา และลำตัว
  • กระดูก เช่น กะโหลกศีรษะ แขน ขา และสันหลัง
  • อวัยวะภายใน เช่น ตับ ปอด หรือสมอง (อาจพัฒนาเป็นซิฟิลิสระบบประสาท)

ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้องอกกัมม่ากับโรคซิฟิลิส

เนื้องอกกัมม่า ถือเป็นผลลัพธ์ของการติดเชื้อซิฟิลิสระยะเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาในระยะต้น (Primary และ Secondary Syphilis) เชื้อแบคทีเรียสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกาย และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อในระยะยาว ส่งผลให้เกิดเนื้องอกอักเสบ (gummatous lesions) ที่อาจทำลายอวัยวะสำคัญแบบถาวร

อาการร่วมอื่นของซิฟิลิสระยะที่สาม

  • ปวดกระดูก หรือข้อเรื้อรัง
  • อ่อนแรง กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • สูญเสียการมองเห็น หรือการได้ยิน
  • ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (Aneurysm)
  • ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง (Neurosyphilis)

การวินิจฉัยเนื้องอกกัมม่า

การวินิจฉัยกัมม่าต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยร่วมหลายวิธี

“ChatLove2test"
  • การซักประวัติทางเพศ และพฤติกรรมเสี่ยง
  • การตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะผิวหนัง กระดูก และอวัยวะภายใน
  • การตรวจเลือดหาเชื้อซิฟิลิส เช่น VDRL, RPR, TPHA, FTA-ABS
  • การตรวจชิ้นเนื้อจากกัมม่าภายใต้กล้องจุลทรรศน์
  • การถ่ายภาพรังสี (X-ray) หรือ MRI เพื่อดูความเสียหายต่อกระดูกหรืออวัยวะภายใน
การรักษาเนื้องอกกัมม่า

การรักษาเนื้องอกกัมม่า

แม้ว่ากัมม่าจะเป็นภาวะแทรกซ้อนระยะเรื้อรัง แต่ยังสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะเพนิซิลลิน ซึ่งเป็นยาหลักที่ใช้รักษาซิฟิลิสมานานหลายทศวรรษ

“PrEPLove2test"
  • ยาที่ใช้ ใช้ยา Benzathine Penicillin G ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เป็นหลัก 1 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน อาจต้องรับการรักษาด้วย doxycycline หรือ ceftriaxone ภายใต้คำแนะนำแพทย์
  • การติดตามผล ตรวจเลือดซ้ำตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด เพื่อติดตามระดับแอนติบอดี และตรวจอาการทางระบบประสาทหรือภาพรังสีเพิ่มเติม หากกัมม่าลุกลาม
  • การป้องกัน
    • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
    • ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และถูกต้อง
    • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยโดยไม่มีการตรวจสุขภาพร่วมกัน
    • หากเคยติดเชื้อซิฟิลิส ควรติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิดจนกระทั่งแพทย์ยืนยันว่าหายขาด
  • เนื้องอกกัมม่ากับความเข้าใจผิด บางคนเข้าใจผิดว่ากัมม่าเป็นมะเร็ง เนื่องจากมีลักษณะเป็นก้อน แต่เนื้องอกกัมม่าเกิดจากการติดเชื้อ ไม่ใช่เซลล์มะเร็ง เนื่องจากเนื้องอกกัมม่าอาจไม่เจ็บในระยะแรก ทำให้หลายคนละเลย แต่หากปล่อยไว้อาจลุกลาม และทำลายเนื้อเยื่ออย่างถาวร

การป้องกันการเกิดเนื้องอกกัมม่า

การป้องกันไม่ให้เกิดเนื้องอกกัมม่าเริ่มต้นจากการป้องกันโรคซิฟิลิสตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถทำได้โดย

  • ป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิส หมั่นตรวจสุขภาพทางเพศ โดยเฉพาะหากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งอย่างถูกวิธี
  • ตรวจหาเชื้อซิฟิลิสเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้มีคู่นอนใหม่บ่อยครั้ง ผู้ที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือผู้ที่มีอาการน่าสงสัย
  • รักษาโรคซิฟิลิสให้ครบถ้วน หากตรวจพบเชื้อในระยะต้น ควรเข้ารับการรักษาทันทีด้วยยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำแพทย์ และติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องจนหายขาด
  • ดูแลสุขภาพโดยรวม เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่รู้สถานะสุขภาพของคู่
  • ให้ความรู้กับคนรอบตัว การให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคซิฟิลิสและภาวะแทรกซ้อนอย่างเนื้องอกกัมม่า ช่วยลดความอับอายและกระตุ้นให้คนกล้าเข้ารับการตรวจและรักษา

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

โรคซิฟิลิส ติดง่าย แต่ป้องกันได้

แผลริมอ่อน หรือซิฟิลิสเทียม คืออะไร?

เนื้องอกกัมม่า (Gummas) เป็นสัญญาณเตือนของโรคซิฟิลิสที่ไม่ได้รับการรักษา และอาจก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ การรู้เท่าทันอาการของกัมม่า การตรวจหาเชื้อแต่เนิ่น ๆ และการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งโรคซิฟิลิสไม่ให้พัฒนาเข้าสู่ระยะที่รุนแรง หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยง ควรรีบตรวจสุขภาพทางเพศ และปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำอย่างถูกต้อง

เอกสารอ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Syphilis – STI Treatment Guidelines. ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาโรคซิฟิลิสและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/treatment-guidelines/syphilis.htm
  • World Health Organization (WHO). Syphilis. ข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับการป้องกัน การวินิจฉัย และการรักษาโรคซิฟิลิส. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/syphilis
  • Wikipedia. Gumma (pathology). รายละเอียดเกี่ยวกับเนื้องอกกัมม่าและความเกี่ยวข้องกับโรคซิฟิลิสระยะสาม. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Gumma_(pathology)
  • DermNet. Syphilis. แหล่งข้อมูลเชิงคลินิกเกี่ยวกับระยะต่าง ๆ ของโรคซิฟิลิสและอาการของกัมม่า. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://dermnetnz.org/topics/syphilis
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โรคซิฟิลิส – ข้อมูลสำหรับประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันและการรักษา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=24

Similar Posts

  • |

    U=U คืออะไร? ทำความเข้าใจเพื่อลดการตีตรา และยกระดับความเข้าใจในสังคม

    ในยุคปัจจุบัน เอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ถูกเข้าใจผิด และเป็นสาเหตุของการตีตราในสังคม แม้ว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์จะทำให้ผู้มีผลเลือดบวกสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ความเข้าใจผิด และความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผลยังคงส่งผลให้หลายคนเลือกที่จะตีตัวออกห่างหรือปฏิเสธการอยู่ร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ การรับรู้ และเข้าใจแนวคิดใหม่ ๆ อย่าง U=U จะช่วยยกระดับทัศนคติที่ดีขึ้น ลดการตีตรา และสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างไร้กังวล

  • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อสุขภาพเพศที่ปลอดภัย

    การรักษาสุขภาพเพศที่ดี และปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคน เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพได้ ดังนั้น การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ช่วยให้เรารับรู้โรคในระยะเริ่มต้น และรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (Safe Sex)

    เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญของทุกคน การป้องกันก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน การมีเซ็กส์ยังไงให้ปลอดภัย เพื่อการป้องกัน และลดความเสี่ยงการติดต่อของโรคทางเพศสัมพันธ์ Safe Sex คืออะไร  คือ การมีเซ็กซ์ หรือเพศสัมพันธ์กันอย่างปลอดภัย ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่ามีเพียงแค่การใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่ความจริงแล้วการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมีมากกว่านั้น อย่างเช่น การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าการช่วยตัวเอง ซึ่งวิธีอย่างหนึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ร้ายแรง หรือน่ารังเกียจ ทำไมต้อง Safe Sex?  การ Safe Sex หรือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยนั้น เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อเอชไอวี, โรคเอดส์, ซิฟิลิส, หนองใน ฯลฯ หรือช่วยในการคุมกำเนิด ตั้งท้องในขณะที่ยังไม่พร้อม  การมีเซ็กส์อย่างปลอดภัยเป็นไปได้หรือไม่  เป็นไปได้ หากเรามีความรู้ และการเข้าใจในการมีเซ็กซ์ หรือเพศสัมพันธ์ อย่างถูกต้อง ทำให้เรามีเซ็กส์อย่างปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Safe Sex มีแบบไหนบ้าง? แบบที่ 1 ก่อนที่จะมี Sex กับใครได้โปรดตรวจเลือดเพื่อความชัวร์!  แม้ว่าเราจะมั่นใจในตัวเอง…

  • |

    รู้สถานะเอชไอวี (Know Your Status) เพื่อสุขภาพที่ดี และการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

    เชื้อเอชไอวี (HIV = Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษา ไวรัสจะทำลายเซลล์เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส

    หากปล่อยให้เชื้อเอชไอวี พัฒนาต่อโดยไม่มีการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะ โรคเอดส์ (AIDS – Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมียาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) ที่ช่วยควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพดี และลดโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

  • การรักษาหนองในในผู้หญิง: วิธีการ และข้อควรรู้

    โรคหนองใน เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง แต่สำหรับผู้หญิงนั้น บางครั้งอาการอาจไม่ชัดเจน ทำให้การติดเชื้อถูกมองข้ามไป หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ภาวะมีบุตรยาก หรือโรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ ดังนั้นการรับรู้ถึงวิธีการรักษา และข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคหนองในจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกัน และดูแลสุขภาพของตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคนี้

  • การตีตรา โรคติดต่อทางเพศ

    การตีตรา เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นปัญหาสังคมที่แพร่หลายและมีผลกระทบสําคัญ มุมมองเชิงลบและการตัดสินที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศ ส่งเสริมความหวาดกลัว ความอับอาย และไม่กล้าเปิดเผยกับแพทย์เพื่อเข้าสู่การตรวจวินิจฉัย การตีตรา อาจทําให้หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะเข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งนําไปสู่การแพร่กระจายของการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้ การเลือกปฏิบัติสร้างปัญหาทางอารมณ์ และความโดดเดี่ยวให้กับผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศ และกระทบต่อผลลัพธ์ด้านสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพ การเอาชนะการตีตราเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต้องได้รับการศึกษา ความเข้าใจ และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน และไม่ตัดสิน ส่งเสริมการให้ความรู้สาธารณะ การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง และการดูแลสุขภาพทางเพศที่ครอบคลุม