เข้าใจให้ชัด! PrEP On-Demand เหมาะกับใคร ใช้อย่างไรให้ได้ผล

เข้าใจให้ชัด! PrEP On-Demand เหมาะกับใคร ใช้อย่างไรให้ได้ผล

ในยุคที่เทคโนโลยีการแพทย์ก้าวหน้า การป้องกัน HIV ก็พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาต้านไวรัสที่ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ก่อนเกิดความเสี่ยง ซึ่งสามารถลดโอกาสติดเชื้อได้มากกว่า 90% หากใช้ถูกวิธี

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจรู้จักเพียง PrEP แบบกินทุกวัน (Daily PrEP) แต่ยังไม่เข้าใจว่า PrEP On-Demand หรือ PrEP แบบเฉพาะกิจ คืออะไร ใช้อย่างไร และเหมาะกับใครบ้าง เราจะอธิบายอย่างละเอียด เพื่อให้คุณเลือกใช้วิธีป้องกันที่เหมาะกับพฤติกรรม และไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เข้าใจให้ชัด! PrEP On-Demand เหมาะกับใคร ใช้อย่างไรให้ได้ผล
Love2test

PrEP On-Demand คืออะไร?

PrEP On-Demand หรือที่บางครั้งเรียกว่า PrEP 2-1-1 คือการใช้ยา PrEP แบบเฉพาะช่วงที่มีความเสี่ยง โดยไม่จำเป็นต้องกินทุกวันเหมือน PrEP แบบปกติ

Love2test

หลักการคือ การรับประทานยา ก่อน และหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ระดับยาต้านไวรัสในเลือดเพียงพอต่อการป้องกันการติดเชื้อ HIV โดยสูตรการกินยาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) คือ

  • สูตร 2-1-1 (Two-One-One)
    • กิน 2 เม็ด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2–24 ชั่วโมง
    • กิน 1 เม็ด หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง
    • กินอีก 1 เม็ด หลังจากนั้นอีก 24 ชั่วโมง

รวมทั้งหมด 4 เม็ด ต่อหนึ่งเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยง 

“ChatLove2test"
  • ตัวอย่างเช่น หากมีเพศสัมพันธ์ในคืนวันศุกร์ เวลา 22.00 น.
    • ต้องกินยา 2 เม็ด ภายในช่วงเวลา 20.00 น. ของวันพฤหัสบดี – 20.00 น. ของวันศุกร์ (ก่อนมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2 ชั่วโมง)
    • จากนั้นกินอีก 1 เม็ดในคืนวันเสาร์เวลา 22.00 น.
    • และกินอีก 1 เม็ดในคืนวันอาทิตย์เวลา 22.00 น.

PrEP On-Demand เหมาะกับใคร?

PrEP On-Demand เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงไม่บ่อย หรือมีเพศสัมพันธ์แบบ เฉพาะโอกาส และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์

กลุ่มที่เหมาะสม เช่น

“PrEPLove2test"
  • ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) ที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์บ่อย
  • ผู้ที่มีคู่นอนไม่ประจำ และสามารถวางแผนได้ก่อนมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่มีผลเลือด HIV เป็นลบ และตรวจแล้วไม่มีไวรัสตับอักเสบ B (เพราะหากหยุดยากะทันหันอาจกระตุ้นไวรัสตับอักเสบให้กำเริบ)
  • ผู้ที่ไม่ต้องการกินยาเป็นประจำ แต่ต้องการการป้องกันที่มีประสิทธิภาพเมื่อจำเป็น

ในทางกลับกัน PrEP On-Demand อาจไม่เหมาะ สำหรับ:

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย หรือไม่สามารถคาดเดาเวลาได้แน่นอน
  • ผู้หญิง หรือบุคคลที่เกิดเป็นเพศหญิง เนื่องจากยาต้องใช้เวลานานกว่าจะสะสมในเนื้อเยื่อช่องคลอดถึงระดับที่ป้องกันได้
  • ผู้ที่มีปัญหาตับหรือไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้

การใช้ PrEP On-Demand อย่างถูกวิธี

แม้ PrEP On-Demand จะยืดหยุ่น แต่การใช้ให้ถูกเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากกินช้าเกินไป ระดับยาอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกัน

แนวทางการใช้ที่ถูกต้อง คือ

  • กินยา 2 เม็ด (TDF/FTC) ก่อนมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2 ชั่วโมง (แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง)
  • กินยาอีก 1 เม็ด หลังจาก 24 ชั่วโมง
  • กินยาอีก 1 เม็ด หลังจากนั้นอีก 24 ชั่วโมง

หากมีเพศสัมพันธ์ต่อเนื่องหลายวัน ให้กินยา วันละ 1 เม็ดต่อเนื่อง จนถึง 2 วันหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย

ตัวอย่าง: หากมีเพศสัมพันธ์วันศุกร์ และวันเสาร์

  • เริ่มกินยา 2 เม็ดก่อนวันศุกร์ 2 ชั่วโมง
  • จากนั้นกินยา 1 เม็ดวันเสาร์ และอีก 1 เม็ดวันอาทิตย์
  • แต่เพราะยังมีเพศสัมพันธ์ต่อในวันเสาร์ จึงต้องเพิ่มอีก 1 เม็ดในวันจันทร์ เพื่อให้ครบ หลังครั้งสุดท้าย 2 วัน
การตรวจสุขภาพก่อนเริ่มใช้ PrEP On-Demand

การตรวจสุขภาพก่อนเริ่มใช้ PrEP On-Demand

ก่อนเริ่มใช้ PrEP ไม่ว่าจะเป็นแบบรายวันหรือ On-Demand ควรตรวจสุขภาพ และประเมินโดยแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และประสิทธิภาพสูงสุด

รายการตรวจพื้นฐาน ได้แก่

  • ตรวจเลือด HIV เพื่อยืนยันว่าผลเป็นลบ (เพราะหากติดเชื้อแล้ว และกินยาไม่ครบ อาจเกิดการดื้อยาได้)
  • ตรวจการทำงานของไต (Creatinine, eGFR) เนื่องจากยาบางตัวมีผลต่อไต
  • ตรวจไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) เพราะการหยุดยาอย่างรวดเร็วอาจทำให้ไวรัสกำเริบ
  • ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม หรือไวรัสตับอักเสบซี

ผลข้างเคียงของการใช้ PrEP On-Demand

โดยทั่วไป PrEP เป็นยาที่ปลอดภัย และทนต่อร่างกายได้ดี ผลข้างเคียงที่พบมักเป็นเพียงชั่วคราว เช่น

  • คลื่นไส้ หรือเวียนหัวในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก
  • ปวดท้อง หรือท้องอืดเล็กน้อย
  • อ่อนเพลียหรือรู้สึกเมื่อย
  • ในบางรายอาจมีค่าไตหรือเอนไซม์ตับเปลี่ยนเล็กน้อย (พบได้น้อย)

หากมีอาการรุนแรง เช่น ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง ปัสสาวะน้อยลง หรือมีผื่นแพ้ยา ควรหยุดยา และรีบพบแพทย์ทันที

ข้อควรระวังในการใช้ PrEP On-Demand

  • ต้องกินให้ตรงเวลา หากลืมกินยา ก่อน มีเพศสัมพันธ์ ระดับยาอาจไม่พอที่จะป้องกันการติดเชื้อ
  • ห้ามใช้แทน PEP หากมีความเสี่ยงโดยไม่ได้เตรียมยาไว้ก่อน ควรใช้ PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาป้องกันหลังสัมผัสเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง
  • ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม หรือไวรัสตับอักเสบ ดังนั้นควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง
  • ควรตรวจสุขภาพทุก 3 เดือน เพื่อประเมินผลเลือด HIV และการทำงานของไต รวมถึงตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

การติดตามผลหลังเริ่มใช้ PrEP

แม้จะใช้ยาอย่างถูกวิธี การติดตามประเมินผลอย่างสม่ำเสมอก็ยังจำเป็น โดยควรตรวจทุก 3 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่ายังปลอดภัย และไม่มีการติดเชื้อ

สิ่งที่ควรตรวจเป็นประจำ ได้แก่

  • ผลเลือด HIV
  • การทำงานของไต (Creatinine, eGFR)
  • การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ (เช่น ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม)
  • การประเมินการใช้ยาต่อเนื่อง และพฤติกรรมความเสี่ยง

การป้องกันที่ครอบคลุมมากกว่าการใช้ยา

แม้ PrEP จะเป็นวิธีป้องกัน HIV ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ การดูแลสุขภาพทางเพศ อย่างรอบด้านยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ
  • พูดคุยเรื่องสุขภาพกับคู่นอนอย่างเปิดใจ
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดก่อนหรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์
ความแตกต่างระหว่าง PrEP On-Demand และ Daily PrEP

ความแตกต่างระหว่าง PrEP On-Demand และ Daily PrEP

หัวข้อPrEP On-DemandPrEP รายวัน (Daily PrEP)
วิธีใช้กินเฉพาะก่อน–หลังมีเพศสัมพันธ์ (สูตร 2-1-1)กินวันละ 1 เม็ด ทุกวัน
เหมาะกับใครผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เป็นครั้งคราวผู้ที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย หรือคาดเดาไม่ได้
ประสิทธิภาพสูงใกล้เคียง Daily PrEP หากกินถูกเวลาป้องกันได้สูงสุดกว่า 99%
ข้อดีไม่ต้องกินทุกวัน ลดผลข้างเคียงและค่าใช้จ่ายป้องกันต่อเนื่องแม้มีเพศสัมพันธ์กะทันหัน
ข้อจำกัดต้องวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชม.ต้องกินสม่ำเสมอทุกวัน
เหมาะกับเพศหญิงยังไม่มีข้อมูลประสิทธิภาพเพียงพอต้องกินสม่ำเสมอทุกวัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PrEP On-Demand

Q : ถ้ามีเพศสัมพันธ์บ่อย ควรกินแบบ On-Demand ได้ไหม?
A :
หากมีเพศสัมพันธ์เกือบทุกวันหรือบ่อยเกินสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ควรเปลี่ยนมาใช้ PrEP รายวัน เพื่อให้ระดับยาในเลือดคงที่ และสะดวกกว่า

Q : ถ้าเริ่มกิน PrEP แล้วหยุดกลางคันจะเป็นอะไรไหม?
A :
 หากหยุดกินก่อนครบตามสูตร 2-1-1 อาจทำให้ระดับยาไม่พอ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

Q : PrEP On-Demand ใช้กับเพศหญิงได้ไหม?
A :  ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกเพียงพอสำหรับเพศหญิง เนื่องจากยาใช้เวลานานในการสะสมในเนื้อเยื่อช่องคลอด

Q : PrEP ต่างจาก PEP ยังไง?

A : 

  • PrEP: ป้องกันก่อนมีความเสี่ยง
  • PEP: ใช้หลังมีความเสี่ยงภายใน 72 ชั่วโมง

Q : ถ้าใช้ถุงยางอยู่แล้ว ยังต้องกิน PrEP ไหม?
A :  การใช้ถุงยางร่วมกับ PrEP ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน และยังลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ อีกด้วย

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

จากยากินสู่ยาฉีด ยุคใหม่ ของการใช้ PrEP เพื่อป้องกันเอชไอวี

ป้องกันเอชไอวีอย่างไร ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ?

PrEP On-Demand คืออีกหนึ่งทางเลือกของการป้องกัน HIV ที่ยืดหยุ่น เหมาะสำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เป็นครั้งคราว และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการกินยาเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม การใช้ให้ได้ผลต้อง ถูกวิธี และตรงเวลา ควบคู่กับการตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ และการใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

เพราะสุขภาพทางเพศที่ดี ไม่ใช่แค่การ ป้องกันโรค แต่คือการ เข้าใจตัวเอง และดูแลตนเองอย่างรอบด้าน

เอกสารอ้างอิง

  • World Health Organization (WHO). Guidelines on HIV Prevention: Pre-Exposure Prophylaxis (PrEP). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). PrEP On-Demand (2-1-1 dosing). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/prep.html
  • Molina J-M et al. On-Demand Preexposure Prophylaxis in Men at High Risk for HIV-1 Infection. N Engl J Med. 2015;373:2237–2246.
  • ANRS Prévenir Study. Effectiveness of On-Demand PrEP among MSM. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://anrs.fr
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการใช้ยา PrEP และ PEP ในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th

Similar Posts

  • PEP ยาป้องกันเอชไอวี “หลัง” สัมผัสเชื้อ ทานภายใน 72 ชั่วโมง

    PEP (Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสในกรณีฉุกเฉิน เป็นยาป้องกันเอชไอวี “หลัง” สัมผัสเชื้อ ใช้กับบุคคลที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อเอชไอวี โดยจะต้องรับประทานยาให้เร็วที่สุด ภายใน 72 ชั่วโมง หลังมีความเสี่ยง และจะต้องรับประทานต่อเนื่องติดต่อกันนาน 28 วัน PEP ทำงานอย่างไร? ยา PEP ทำงานโดยหยุดไม่ให้ไวรัสเอชไอวีเพิ่มจำนวนในร่างกาย PEP ทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย PEP มีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเริ่มให้เร็วที่สุดหลังจากได้รับเชื้อไวรัส ขอแนะนำให้เริ่มยา PEP ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีความเสี่ยง ใครบ้างควรใช้ยา PEP? PEP ไม่ใช่วิธีการหลักในการป้องกันเอชไอวี บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อเอชไอวีควรใช้ถุงยางอนามัยและมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อไวรัสเอชไอวี ผลข้างเคียงของยา PEP ยา PEP อาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ ผลข้างเคียงเหล่านี้โดยทั่วไปไม่รุนแรงและมักจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากมีอาการนานมากกว่านั้น แนะนำให้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อจะได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ จะรับ PEP…

  • |

    ผลข้างเคียงของยาเพร็พ (PrEP)

    การป้องกันโรคก่อนการสัมผัสด้วยยาเพร็พ ซึ่งเป็นยาเพื่อป้องกันไม่ให้คุณติดเชื้อเอชไอวี เช่นเดียวกับยาอื่นๆ อาจมีผลข้างเคียง รวมถึงผลข้างเคียงในระยะยาว ฉะนั้นจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับยาเพร็พ และผลข้างเคียงของยา สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่กินยาจะประสบกับผลข้างเคียง ทำให่ยาเพร็พ ยังถือว่าเป็นยาที่มีความปลอดภัยมาก

  • |

    จากยากินสู่ยาฉีด ยุคใหม่ ของการใช้ PrEP เพื่อป้องกันเอชไอวี

    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้ PrEP หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม รูปแบบของ PrEP ที่ใช้อยู่เดิมส่วนใหญ่ยังเป็นแบบรับประทานรายวัน ซึ่งแม้จะได้ผลดี แต่ก็มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความต่อเนื่องในการใช้ยา ความสะดวกในชีวิตประจำวัน และการยอมรับทางสังคม

    ในปี 2025 นี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการป้องกันเอชไอวี ด้วยนวัตกรรม PrEP แบบฉีด ที่สามารถให้ผลลัพธ์ในการป้องกันที่สูงขึ้น ใช้งานสะดวกขึ้น และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง

  • |

    รู้ให้ชัด! เชื้อเอชไอวีติดต่อทางไหน และไม่ติดต่อทางไหน

    แม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะมีความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี (HIV) เพิ่มมากขึ้น แต่ความเข้าใจผิดเรื่องการแพร่เชื้อเอชไอวี ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม หลายคนยังเข้าใจว่าเอชไอวีสามารถติดต่อผ่านการใช้แก้วน้ำร่วมกัน หรือแม้แต่การจับมือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง การขาดข้อมูลที่ถูกต้องไม่เพียงแต่สร้างความกลัวโดยไม่จำเป็น ยังเป็นการซ้ำเติมการตีตรา และเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อโดยไม่เป็นธรรม

  • ภาวะแทรกซ้อน ของผู้ติด HIV

    การติดเชื้อ HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่มุ่งเข้าโจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะเซลล์ CD4 (ซีดีโฟร์) ซึ่งมีความสำคัญต่อการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้อเอชไอวี สามารถพัฒนาไปสู่ระยะที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ระยะสุดท้าย ซึ่งเรียกว่าโรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome) โรคเอดส์ เป็นลักษณะอาการที่เกิดขึ้นจากการไม่มีอยู่ของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ผู้ติด HIV ติดโรคอื่นๆ ได้ง่าย เรียกว่า “โรคฉวยโอกาส” นั่นเอง

  • |

    Lenacapavir ความก้าวหน้าใหม่ในการรักษาเอชไอวี

    เอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการพัฒนายาต้านไวรัส แต่ยังคงมีความจำเป็นในการค้นหาวิธีการรักษา และป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และสะดวกสบายมากขึ้น Lenacapavir เป็นยาต้านไวรัสชนิดใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการรักษา และป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี​