อาการเตือนหนองในเทียม สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อาการเตือนหนองในเทียม สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

โรคหนองในเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง อาการของโรคหนองในเทียมมักไม่แสดงออกในช่วงแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ทราบว่าตนเองเป็นพาหะ และอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การอักเสบในอุ้งเชิงกรานในเพศหญิง และการอักเสบของอัณฑะในเพศชาย การตระหนักถึงอาการเตือน และสัญญาณอันตรายของโรคหนองในเทียมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกัน และรักษาโรคนี้ ซึ่งการมีความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีการป้องกันโรคจะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพของตนเอง และคู่นอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาการเตือนหนองในเทียม สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

สาเหตุโรคหนองในเทียม

Love2test

โรคหนองในเทียม ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย คลามัยเดีย ทราโคมาทิส (Chlamydia trachomatis) ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทั้งเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และปาก การติดเชื้อหนองในเทียม สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายส่วนของร่างกาย เช่น อวัยวะเพศ ปากมดลูก ท่อปัสสาวะ ลำไส้ และลำคอ หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

อาการโรคหนองในเทียม

อาการของโรคหนองในเทียมมัก ไม่แสดงในช่วงแรก ซึ่งทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ แต่อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • เพศชาย
    • ปัสสาวะแสบขัด
    • ปัสสาวะขุ่น มีหนอง หรือสารเหลวไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ
    • ปวดบวมที่อัณฑะ
    • มีไข้ เจ็บคอ คอแห้ง 
    • ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว
    • รอบๆ รูท่อปัสสาวะดูบวมแดง 
    • มีอาการระคายเคือง และคันบริเวณท่อปัสสาวะ
    • มีอาการอักเสบที่บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
  • เพศหญิง
    • ปัสสาวะแสบขัด
    • ตกขาวผิดปกติ มีสีเหลือง หรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    • ปวดท้องส่วนล่าง ท้องน้อย เจ็บที่กระดูกเชิงกราน เวลามีประจำเดือน หรือขณะมีเพศสัมพันธ์
    • ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
    • มีไข้ เจ็บคอ คอแห้ง 
    • ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว
    • มีเลือดออกระหว่างรอบเดือน หรือประจำเดือนผิดปกติ
    • มีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์  หรือบางรายมีเลือดออกช่วงที่ไม่มีประจำเดือน 

นอกจากนี้ ทั้งเพศชายและเพศหญิงยังสามารถมีอาการอื่น ๆ ได้ หากเกิดการติดเชื้อที่ทวารหนัก  หรือลำคอ เช่น เจ็บคอ เจ็บทวารหนัก หรือมีเลือดออกจากทวารหนัก

Love2test

สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

การที่อาการของโรคหนองในเทียมไม่แสดงชัดเจนในช่วงแรก ทำให้หลายคนมองข้ามและไม่ได้รับการรักษา ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนี้

  • อาการที่ไม่หายไป หากมีอาการปัสสาวะแสบขัด หนองออกจากอวัยวะเพศ หรืออาการปวดบวมที่อัณฑะในเพศชาย หรืออาการปวดท้อง ตกขาวผิดปกติ และปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ในเพศหญิง ควรไปพบแพทย์ทันที หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปภายในไม่กี่วัน
  • ปวดท้องส่วนล่างอย่างรุนแรง การปวดท้องส่วนล่างที่รุนแรงอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่แพร่กระจายไปยังท่อนำไข่หรือมดลูก ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน (PID) ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
  • มีไข้สูง การมีไข้สูงร่วมกับอาการปวดท้อง ปวดอวัยวะเพศ หรือปวดบวมที่อัณฑะ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่ลุกลาม และต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน
  • มีเลือดออกผิดปกติ หากมีเลือดออกระหว่างรอบเดือนหรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษา
  • อาการเจ็บปวดที่ลามไปส่วนอื่นๆ หากมีอาการเจ็บปวดหรือปวดที่ลามไปยังบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ขา หลัง หรือบริเวณอุ้งเชิงกราน อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่ลุกลาม
การรักษาโรคหนองในเทียม

การรักษาโรคหนองในเทียม

การรักษาโรคหนองในเทียมสามารถทำได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่ง โดยทั่วไปแล้ว ยาที่ใช้ในการรักษาได้แก่ Doxycycline หรือ Azithromycin ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการใช้ยาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อแบคทีเรียจะถูกกำจัดหมด

“ChatLove2test"
  • กลุ่มยาเพนิซิลลิน (Penicillins) ได้แก่ อะม็อกซี่ซิลลิน (Amoxicillin)
  • กลุ่มยาแมคโครไลด์ (Macrolides) ได้แก่ อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ร็อกซิโทรมัยซิน (Roxithromycin)
  • กลุ่มยาเตตราไซคลิน (Tetracyclines) ได้แก่ ดอกซีไซคลิน (Doxycycline) เตตราไซคลิน (Tetracycline)

ในกรณีที่มีการติดเชื้อที่ลุกลาม หรือมีภาวะแทรกซ้อน อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในระยะยาว หรือการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายขาดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและการติดเชื้อซ้ำ

การป้องกันโรคหนองในเทียม

  • การป้องกันโรคหนองในเทียม สามารถทำได้โดย
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะการใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงโรคหนองในเทียม
  • การตรวจสุขภาพ และตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ จะช่วยให้สามารถตรวจพบ และรักษาการติดเชื้อได้ตั้งแต่ระยะแรก
  • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน เพราะการมีคู่นอนหลายคน เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคหนองในเทียมได้
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากคู่นอนมีอาการที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ และแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจ และรักษาต่อไป

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

หนองในเพศชาย อันตรายแค่ไหน?

“PrEPLove2test"

หนองใน แท้กับเทียม แยกอย่างไร

โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย หากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม และยังก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงจากการที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ฉะนั้นการสังเกต และให้ความสำคัญกับอาการ และสัญญาณอันตรายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การรักษา และป้องกันจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และแพร่กระจายเชื้อ ไปยังผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Similar Posts

  • โรคหูดข้าวสุก : ภัยทางเพศสัมพันธ์ที่ต้องระวัง ป้องกันอย่างไร?

    โรคหูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม Poxvirus ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัสผิวหนังโดยตรง รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ในผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ โรคหูดข้าวสุกมีผลกระทบต่อสุขภาพผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณที่เกิดการสัมผัสเชื้อ และอาจนำไปสู่การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นหากไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกต้อง

  • ไวรัสตับอักเสบซี มียารักษาหายขาดแล้วนะ

    ปัจจุบัน ไวรัสตับอักเสบซี สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา ซึ่งสร้างความหวังให้กับผู้คนนับล้านทั่วโลก ความก้าวหน้าล่าสุดของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ได้ปฏิวัติรูปแบบการรักษาด้วยการใช้โปรแกรมที่มีประสิทธิภาพและยอมรับได้ดี ยาต้านไวรัส (DAA) ที่ออกฤทธิ์โดยตรงเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่ ไวรัสตับอักเสบซี ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อและกำจัดการติดเชื้อในร่างกาย ระยะเวลาในการรักษามักจะอยู่ระหว่าง 8-12 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับจีโนไทป์เฉพาะของไวรัสและสุขภาพส่วนบุคคลของผู้ป่วย อัตราในการรักษาหายขาดสูงมากถึง 95% และมีผลข้างเคียงน้อยมาก ความก้าวหน้าในการรักษาด้วยยาไวรัสตับอักเสบซีนี้เป็นก้าวสำคัญในด้านสาธารณสุข ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถกำจัดไวรัสและลดภาระของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับตับ เช่น โรคตับแข็ง และโรคมะเร็งตับได้

  • ไวรัสตับอักเสบบี : สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

    ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นหนึ่งในโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไตในมนุษย์อย่างสำคัญ โรคนี้เกิดจากไวรัสตับอักเสบบีที่เข้าไปทำลายเซลล์ตับของเรา โดยมักจะถูกติดต่อผ่านทางเลือด หรือน้ำลายที่มีเชื้อจากบุคคลที่ติดเชื้อ สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสนี้ มีโอกาสที่จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับเรื้อรังอย่างไร้ความรู้สึกมากขึ้น เราจึงจำเป็นต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกันของโรคนี้อย่างชัดเจน

  • โลน : โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่แพร่ได้ง่ายกว่าที่คิด

    เมื่อพูดถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections หรือ STIs) หลายคนมักนึกถึงโรคที่มีชื่อเสียง เช่น HIV หนองใน หรือซิฟิลิส แต่มีอีกหนึ่งโรคที่มักถูกมองข้ามเพราะไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย แม้ว่ามันจะสามารถแพร่กระจายได้ง่าย และก่อให้เกิดความไม่สบายใจอย่างมาก นั่นคือ “โลน” หรือปรสิตเหาอวัยวะเพศ (Pubic Lice หรือ Crab Lice) โรคนี้อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับโรคอื่นๆ แต่ก็มีผลกระทบต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ของผู้ป่วยได้ไม่น้อย การเข้าใจเกี่ยวกับโลนอย่างละเอียดจะช่วยให้สามารถป้องกัน และจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • | |

    ถุงยางอนามัยผู้หญิง ตัวช่วยป้องกันที่ผู้หญิงควรรู้

    ถุงยางอนามัยผู้หญิง เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ภายในร่างกายของผู้หญิง แม้จะไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายเท่าถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชาย แต่ก็มีประสิทธิภาพสูง และช่วยให้ผู้หญิงมีอิสระ และความมั่นใจในการป้องกันตนเองอย่างปลอดภัย

  • โรคซิฟิลิส ติดง่าย แต่ป้องกันได้

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน โรคซิฟิลิส (Syphilis) คือ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum)  โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา โดยทั่วไปโรคซิฟิลิสจะเริ่มจากบาดแผล ซึ่งมักพบบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ลักษณะของแผลจะเป็นแผลที่ไม่รู้สึกเจ็บ (Painless sore) หรือเรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) การแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นสามารถเกิดได้ผ่านทางการสัมผัสบาดแผลนี้กับผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ ระยะฟักตัวของโรค หลังจากที่ได้รับเชื้อ ก็มักจะแสดงอาการภายใน 10 – 90 วัน สาเหตุของโรคซิฟิลิส โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema Pallidum) จากการสัมผัสถูกเชื้อโดยตรงจากแผลของผู้ป่วย และระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่มักสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อได้มากที่สุด จึงมักถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้การใช้เข็มฉีดยารวมกับผู้อื่น การรับเลือดจากผู้อื่น รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อสามารถส่งผ่านเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้เช่นกัน ในช่วงระยะที่ 1-2 ของการติดเชื้อจะสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ง่ายมากที่สุด อย่างไรก็ตามการใช้สิ่งของร่วมกันในบางกรณีที่ไม่ได้สัมผัสกับเชื้อโดยตรงอาจไม่เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ เช่น การใช้ห้องน้ำ…